รายการบล็อกของฉัน

วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เซียงเมี่ยง 41 - 76

ตอนที่ 41 กินยาถ่าย

หลวงพ่อ ถืกเซียงเมี่ยง เอาขี้หมินหม้อทาดาก พ่องถืกถีบดาก จนเซซวนล้ม กะสูนอย่างคัก ลุกขึ้นได้ เหลียวแนมหา เห็นแต่ก้นเซียงเมี่ยงอยู่ไกลๆ กะได้แต่ฮ้องป้อยด่านำก้น ? บัก....เอ้ยน้อ... เดี๋ยวกูสิไปฟ้องพระราชาให้ลงโทษมึง...? ...เจ็บใจหลาย ต้องหาทางเอาเรื่องให้ได้ พะนะหลวงพ่อคึด ? หลวงพ่อเลาบ่ฮู้จักเซียงเมี่ยงดอก เลาฮู้แค่ว่าคนผู้นั้น เป็นมหาดเล็กของพระราชา เพราะแต่งชุดมหาด เล็ก เนาะ (น่าสิแต่งชุดมหาด ดล น้อ) ฝ่ายเซียงเมี่ยง แก้แค้นหลวงพ่อสำเร็จแล้ว ความสูนเก่าก่อน ครั้งบักม่วงน้อย กะคลายหายไป พอกลับมาฮอดบ้าน กะคึดได้ว่า หลวงพ่อว่า สิไปฟ้องพระราชา กะเลยคึดหาทางออก เพื่อแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ซั่นแหล่ว เซียงเมี่ยง เลาไปหายาถ่ายมากิน กินยาถ่ายเข้าไปแล้ว เลากะถ่าย หยั่งมื้อหยั่งค่ำ ข้าวบ่กิน ขี้ออกอย่างเดียว แล้วกะบ่เข้าเฝ้าพระราชา เด้ มื้อลุนมา หลวงพ่อ กะมาเข้าเฝ้าพระราชา สิให้พระราชา หาคนผิดมาลงโทษ ว่าซั่มสา พระราชา กะถามหลวงพ่อว่า ?จำหน้ามหาดเล็กคนนั้นได้บ่? หลวงพ่อ กะว่า ?จำได้ จำได้ดีอย่างคัก? จากนั้นพระราชากะถามว่า ? ที่นั่งอยู่นี้ มีบ่ ? หลวงพ่อ เหลียวเบิ่งหน้าผู้นั้น เบิ่งหน้าผู้นี้ กะบ่แมนจักคน ? บ่มีเลย ที่นั่งอยู่นี้ บ่แมนจักคน ? จากนั้น พระราชาให้มหาดเล็กซุมอื่น ที่อยู่แถวนั้น มาให้หลวงพ่อ เบิ่งหน้าทีละคน หลวงพ่อเบิ่งแล้ว กะบ่แมน อีกคือเก่า พระราชากะบอกว่า มหาดเล็ก มีอยู่หลายคนคัก เดี๋ยวมื้ออื่น สิสั่งให้มหาดเล็กซุมอื่น มาให้หลวงพ่อเบิ่งอีก แล้วกะให้หลวงพ่อ กลับวัดก่อน หลวงพ่อมาเบิ่งหน้ามหาดเล็ก อยู่ตั้งวะสามมื้อ มื้อที่สาม กะยังบ่เห็นมหาดเล็กผู้นั้น กะเลยว่า ? มหาดเล็กของพระองค์ มาเหมิดซุคนแล้วบ้อ? พระราชา นั่งคึดไปคึดมา กะเลยว่า ? เอ้อ.... สองสามมื้อมานี้ บ่เห็นเซียงเมี่ยงเลย ถ้าสิเหลือ กะสิแมนเซียงเมี่ยงนี่ล่ะ? จากนั้น กะให้คนไปเอิ้นเซียงเมี่ยงมาเข้าเฝ้า .... เซียงเมี่ยง ให้ขาเจ้า หามมาเข้าเฝ้าพระราชา เด้ แล้วกะทูลว่า ? หลายมื้อมานี้ ข้าพระองค์ป่วย บ่สำบาย ย่างเหินบ่ได้ กะเลยบ่ได้มาเข้าเฝ้า ขออภัยโทษ เด้อ พะเจ้าค่า? พระราชา กะบ่ได้ว่าหยัง เพราะว่า สาระรูปเซียงเมี่ยง เฮ็ดคือจั่งผีตายซาก หน้าตาซูปซีด แก้มตอบ จ่อยอย่างคัก เป็นตาหลูโตนคือหยังนี่ตั้ว... พระราชาหันไปถามหลวงพ่อว่า ? มหาดเล็กผู้นี้ เป็นคนสุดท้ายแล้ว แมนผู้นี้บ่ หลวงพ่อ? หลวงพ่อ เคยเห็นหน้าเซียงเมี่ยง ตอนผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล อ้วนท้วนสมบูรณ์เนาะ พอเห็นหน้าเซียงเมี่ยง ในสาระรูปผีตายซาก กะเลยจำบ่ได้ กะเลยว่า ? ผู้นี้กะบ่แมน ? หลวงพ่อ อุตส่าห์มาฟ้องพระราชา แต่ว่าในที่สุด กะหาบักหมอมอเบิ่งลายก้น บ่พ้อ เทิงมันกะดนหลายมื้อแล้ว เซาสูนแล้ว กะเลยปล่อยเลยตามเลย เซียงเมี่ยง รอดพ้นจากความผิดได้ กะจริงอยู่ แต่เจ้าของ กะต้องกินยาถ่าย จนเป็นไข้ (ไข้หลี) อดข้าว จนจ่อยผอม ทนทุกข์กายอยู่หลายมื้อ กะบ่ต่างกับติดคุกท่อได๋ดอก... เพียงแต่ว่า บ่เสียซื่อเสียง ท่อนล่ะ...

ตอนที่ 42 นักมวยปล้ำ

อยู่เมืองธานี มีท้าวอั่นนึง โตใหญ่ แฮงหลาย (เอิ้นเลาว่า ท้าวพาโล ซะเนาะ) ท้าวพาโลขึ้นเวท ีแข่งมวยปล้ำ กับผู้นั้นผู้นี้ ในเมืองธานีมาเหมิดแล้ว จนเลาได้ตำแหน่ง ชนะเลิศนักมวยปล้ำ ผู้ที่มีแฮงหลายที่สุด ในเมืองธานี แฮงของท้าวพาโลนั้น ต้องใช้คนธรรมดา สิบคน จั่งสิเอาอยู่ ... เลาแฮงหลายปานนั้นล่ะ จากนั้นเจ้าเมืองธานี กะส่งท้าวพาโล ไปแข่งประลองกำลัง กับคนเมืองอื่นๆ ท้าวพาโลกะชนะมาตลอด... ในที่สุดกะเถิงคิว มาฮอดเมืองทวาลี สะล่ะล่ะ ? เจ้าเมืองธานี กะส่งจดหมายท้าประลอง มาเมืองทวาลี เด้ พระราชา ได้รับจดหมายท้าประลองแล้ว กะเอิ้นเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย มาประซุมหารือกัน เตรียมรับมือกับท้าวพาโล.... พวกเสนาอำมาตย์กะตีฆ้องร้องป่าว ประกาศหาคนผู้มีกำลังหลาย ให้มาประลองกำลังกัน เพื่อคัดเลือกว่าซั่นเถาะ ผู้ที่ชนะเลิศในเมืองทวาลี คนธรรมดาแค่ ห้าคนกะเอาอยู่ ถือว่า ยังมีกำลังน้อยกว่าท้าวพาโล ตั้งวะเคิงนึง เด้ คันสิให้ลงแข่ง กะต้องแพ้แน่นอน พระราชา กะคึดหนักอีกตามเคย เขาท้าประลองแล้ว สิบ่ประลอง กะบ่ได้ คันสิประลอง สิแพ้กะบ่ดี เมืองทวาลี เป็นเมืองใหญ่ปานนี้ สิแพ้เมืองน้อยๆ จั่งเมืองธานี กะเสียหน้าท่อนแหล่ว.....ในที่สุด กะต้องหันไปถามเซียงเมี่ยง ขอให้เซียงเมี่ยง ซ่อยจัดการให้ สะล่ะล่ะ เซียงเมี่ยง กะเลยให้คนเฮ็ดเซือกคร่าว เส้นบักใหญ่ สี่เส้น คร่าวสี่เส้นนั้น แต่ล่ะเส้น มีหม่องนึง ฝั่นบ่ดี เฮ็ดให้มันผ่อยๆ ขาดง่ายๆ เด้ แล้วกะหาคนหนุ่ม ที่โตใหญ่ๆ อ้วนๆ จักหน่อย มาผู้นึง เอามาแถผม มัดจุก แต่งโตให้เป็นเด็กน้อย นั่นหนา แล้วกะหาคนหนุ่ม ที่โตใหญ่ๆ กายกำยำบึกบึนๆ มา สี่ร้อยคน.... หลังจากนัดแนะแผนการกัน เรียบร้อยน้อ... มื้อนั้น คณะของท้าวพาโลจากเมืองธานี เดินทางมาฮอด รอคอยสิประลองกำลัง มื้อฮือ เด้ ช่วงแลง คณะของท้าวพาโล กะพากันย่างเล่นชมเมืองชมตลาด ตางว่าเบิ่งความเจริญ ของบ้านอื่นเมืองอื่น นั่นล่ะ พอย่างมาฮอดหม่องนึง ได้ยินเสียง คนเอะอะ อื้ออึง เกิดความสงสัย กะเลยย่างเลาะไปเบิ่ง กะเห็น คนหลายร้อย พากันพยายาม ดึงลากเด็กน้อยผมหัวจุกผู้นึงอยู่ โดยใช้เซือกคร่าว เส้นบักใหญ ่สี่เส้นมัดมือ มัดแขนทั้งสองข้าง ต่างฝ่ายต่างพยายามออกแฮง ดึงกันไปกันมา กะบ่ไปไสมาไส กะเลยถามคนเมืองทวาลี ที่ติดตามมา (คนผู้นี้ เซียงเมี่ยงจัดเตรียมคำตอบแล้ว) ว่า ? นี่มันเป็นอีหยังกัน ? เลากะตอบว่า ? อ๋อ... บ่แมนหยังดอก บ่ต้องตกใจ.. เด็กน้อยนั้น ซื่อว่า บักขู่หลู่ เป็นลูกซายของท้าวโข่โหล่ ตั้ว บักขู่หลู่ มันบ่มักอาบน้ำ ปกติแล้วยามมื้อแลง ท้าวโข่โหล่ สิเป็นคนดึงลากลูกชาย ไปอาบน้ำอยู่ห้วยพุ่น แต่ว่าพอดีมื้อฮือ ท้าวโข่โหล่ สิต้องประลองกำลัง กับท้าวพาโล มื้อนี้ กะเลยเข้าไปเก็บโตอยู่ในวัง ให้ทหารซุมน ี้พาลูกชายไปอาบน้ำแทน ซั่นดอก? พอแต่เลาเว้าจบ กะพอดี (อีหลีแล้ว มีคนให้สัญญาณเด้อ... ออกแฮงดึงอีหลีอีกจักหน่อย) เชือกคร่าว ทั้งสี่เส้น กะขาด ป๊ด คนทั้งสี่ร้อยคน กะพากันเสียหลัก หงายหลังล้ม ก้นขี้ทั่งไป กะมี บักขู่หลู่ กะแล่นกลับเข้าเฮือน คณะของท้าวพาโล เห็นจั่งซั่น กะพากันคึดว่า

? โฮ้...โธ้โธ่ ๆ ๆ ๆ... ขนาดลูกชาย อายุยังบ่ทันตัดจุก ยังมีกำลังหลายปานนี้ คนสี่ร้อยยังเอาบ่อยู่ ท้าวโข่โหล่ที่เป็นพ่อ สิกำลังหลายปานได๋.... คันสิลงแข่งมื้อฮือ กะต้องแพ้ท้าวโข่โหล่ คักๆ"พากันคึดจั่งซั่นแล้ว เพื่อเป็นการรักษาหน้าของเมืองธานี ยกเลิกการประลอง กะยังดีกว่าแพ้ กะเลย ให้ท้าวพาโล ทำท่าบ่สำบาย มื้อลุนมา กะเข้าเฝ้าพระราชาแต่เช้า ขอยกเลิกการประลอง แล้วกะเดินทางกลับเมืองธานี ซั่นแหล่ว เซียงเมี่ยง กะได้ซ่อยรักษาหน้า ให้เมืองทวาลี อีกเทื่อนึง จั่งซี้ล่ะ

ตอนที่ 43 พระราชาตายภายใน เจ็ดมื้อ

ช่วงนึง พระราชา เพิ่นบ่สำบายแฮง ถึงขนาดลุกจากเตียงบ่ได้ ว่าซั่นเถาะ หมอหลวง กะพยายามถวายการรักษา อย่างดีคัก แต่ว่า อาการกะยังบ่ดีขึ้นเลย กินยาบ่หาย กะต้องหาเบิ่งดวงซาตา สะล่ะล่ะ โหรหลวงกะเข้ามา ขีดๆ เขียนๆ กระดานย่อกๆ แล้วกะทูลพระราชาว่า ? ช่วงนี้ ดาวซาตาของพระองค์ โคจรผ่านดาวโรค กะเลยได้รับอิทธิพล จากดาวโรค เฮ็ดให้บ่สำบาย พะเจ้าค่า แต่ว่า อีกสองสามมื้อ ดาวซาตาของพระองค์ กะสิโคจรพ้นดาวโรค ความบ่สำบายทั้งหลาย กะสิหาย ภายในสองสามมื้อนี้ล่ะ พะเจ้าค่า? เซียงเมี่ยง ยืนฟังอยู่ใกล้ๆ ฮู้สึกคันปาก (คือบ่เกา กะยังวะ???) กะเลย เว้าแทรกขึ้นว่า ? แต่ว่า ตามที่ข้าพระองค์คำนวณเบิ่งแล้ว พระองค์ ต้องตาย ภายในเจ็ดมื้อ เด้"? บักเซียงเมี่ยง มึงเอาหยังมาเว้า.. หาเว้าไปทั่วไปทีบหลาย เว้าบ่ดี เีดี๋ยวหัวขาดกันพอดี ? ..เสนาอำมาตย์ พากันว่าเซียงเมี่ยง ? เอ้า.. เว้าความจริงกะสิหัวขาดอยู่ติ? เซียงเมี่ยงย้อนถาม (ย้อนถามปานหมอลำเด้เดียวหนิ) ? จริงบ่จริง คำแบบนี้ มึงกะบ่สมควรเว้า.. ฮู้บ่..? ? กะบอกไว้ให้ฮู้โตซื่อๆ ดอก? เซียงเมี่ยงยังเถียงต่อ (เป็นบ้าบ้อ ไปหาเถียงต่อ เถียงแตน.... คือบ่ไปหาเถียงนา นำล่ะหือ???) พระราชาได้ยิน กะเลย เว้าว่า ? คันเซียงเมี่ยงว่าเจ้าของเว้าความจริง กะต้องพิสูจน์กัน... คันเฮาตายภายในเจ็ดมื้อ อีหลี กะบ่ต้องไปเอาผิดเซียงเมี่ยงเด้อ... แต่คันเฮาบ่ได้ตาย ภายในเจ็ดมื้อ เฮานี่ล่ะ สิเป็นคนเอาผิด ลงโทษเซียงเมี่ยงเอง? ? บักเซียงเมี่ยงเอ้ย... คราวนี้มึงบ่รอดคักๆ หาเรื่องใส่เจ้าของแท้ๆ น้อ ..? พวกเสนาอำมาตย์พากันคึด แต่ว่าเซียงเมี่ยงเอง ผัดเฮ็ดหน้าตาเสย บ่สะทกสะท้านอีหยังเลย อีกสามมื้อต่อมา พระราชากะหายประชวร ตามที่โหรทำนายไว้ แต่ว่า ยังบ่ทันได้ครบเจ็ดมื้อ กะเลยต้องรอ ให้ครบเจ็ดมื้อสาก่อน ว่าเจ้าของสิตาย คือเซียงเมี่ยงว่า อีหลีบ่ ครบเจ็ดมื้อแล้ว พระราชา กะยังอยู่ดีสำบายยุคือเก่า กะเลยเอิ้นประชุมเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย เพื่อตัดสินคดีเซียงเมี่ยง เด้ ? เซียงเมี่ยง..ไสมึงบอกว่ากูสิตายภายในเจ็ดมื้อ นี่มื้อที่แปดแล้ว กูยังบ่ทันตาย แสดงว่า มึงตั๋วแมนบ่?? ? บ่ได้ตั๋วดอก พะเจ้าค่า เป็นความจริงที่ว่า ทุกคนเกิดมา ต้องตายภายในเจ็ดมื้อ แม้แต่พระองค์เอง กะต้องตายภายในเจ็ดมื้อ คือกัน? ? หมายความว่าจั่งได๋ ? พระราชาถาม ? หมายความว่า พระองค์ต้องตายภายในเจ็ดมื้อนี้ คือ มื้อวันจันทร์ มื้อวันอังคาร มื้อวันพุธ มื้อวันผะหัส มื้อวันศุกร์ มื้อวันเสาร์ มื้อวันอาทิตย์ บ่มื้อได๋กะมื้อนึง พะเจ้าค่า? เอ๋า... ผัดอธิบายไปทางนี้น้อ เซียงเมี่ยงกะดาย... พระราชา กะเลยเอาผิดเซียงเมี่ยงอีกตามเคย สะล่ะล่ะ

ตอนที่ 44 ตั๋วพระราชาลงน้ำ

มื้อนึง พระราชา พร้อมทั้งเสนาอำมาตย์ สนมกำนัลทั้งหลาย พากันไปเล่นสวนอุทยานเด้ เซียงเมี่ยง กะได้ไปนำเขาคือเก่านั่นล่ะเล่นไป เล่นมา เล่นมา เล่นไป จนวะเมื่อย กะเลยพากัน มานั่งโสเหล่กัน อยู่ศาลาริมสระน้ำ สะล่ะล่ะ คุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ จนวกมาฮอดเรื่องเซียงเมี่ยง จนได้ เพราะว่าเขาลือกันว่า เซียงเมี่ยง เลาไหวดี ตั๋วเก่ง เอาโตรอดเก่ง นั่นล่ะ พระราชา กะเลยอยากลองปัญญา กับเซียงเมี่ยงแบบซึ่งๆ หน้า ต่อหน้าคนทั้งหลายนี่ล่ะ ว่าไผสิหัวดีกั่วกัน นั่นหนา พระราชา กะหันไปทางเซียงเมี่ยง เว้าว่า ? เซียงเมี่ยง คันแมนเจ้าหัวดี ตั๋วเก่งคือเขาว่าอีหลี ลองตั๋วเฮาลงน้ำ ดู้? พวกเสนาอำมาตย์ได้ยิน กะพากันคึดว่า ? เอ๋า..ตั้งใจใส่กันคักปานนี้ จั่งได๋สิตั๋วได้ ? เซียงเมี่ยงกะเลยว่า ? ตั๋วให้ลงน้ำน่ะ ตั๋วบ่ได้ดอก พะเจ้าค่า แต่คันสิให้ล่อตั๋ว ขึ้นจากน้ำน่ะ ง่ายขนาด พะเจ้าค่า? พระราชาได้ยินจั่งซั่น กะคึดว่า มันบอกว่า ตั๋วให้ขึ้นจากน้ำได้ กะสิลองเบิ่งกับมันล่ะวะ ว่ามันสิใช้วิธีได๋ ตั๋วให้เฮาขึ้นจากน้ำ... พระราชากะเลยลุกขึ้น ย่างลงไปในน้ำ แล้วกะว่า ? เอ๋า.. เฮาลงน้ำแล้ว ตั๋วให้เฮาขึ้นจากน้ำถะแหมะ.. ตั๋วเลย เชิญตั๋วเลย..? พระราชากวักมือเว้าเย้ย เซียงเมี่ยงกะเลยว่า ? น่าน ข้าพระองค์ ตั๋วให้พระองค์ ลงน้ำได้สำเร็จแล้ว? ? ส่วน เรื่องสิขึ้นจากน้ำ หรือสิแซ่อยู่ในน้ำ กะแล้วแต่พระองค์เด้อ พะเจ้าค่า? พวกเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย เห็นพระราชาถืกเซียงเมี่ยงตั๋ว แบบจ่ะจ่ะ กะพากันอยากหัววะสั่น แต่กะต้องอดหัวไว้ สะล่ะล่ะ ? เอ๋า..เฮาถืกตั๋วแล้วติเนียะ ? พระราชาคึด เทิงสูนนำเด้ ว่าเสียทีเซียงเมี่ยงแบบง่ายๆ ? เซียงเมี่ยง เลาตั๋วให้เฮาลงน้ำได้แล้ว เฮาสิยืนแซ่อยู่ในน้ำเฮ็ดหยังล่ะ? พระราชากะเลยขึ้นจากน้ำมา พอพระราชาขึ้นจากน้ำ เซียงเมี่ยงกะเว้าอีกว่า ? น่าน ข้าพระองค์ ตั๋วให้พระองค์ขึ้นจากน้ำได้สำเร็จแล้ว? ? ตั๋วได้อีกแล้วบ้อ... เอ๋า..ลืมตั้วล่ะบะได๋? พระราชาคึดเทิงสูนนำล่ะว๋า พวกเสนาอำมาตย์ทั้งหลายกะคึดอยากหัว พากันอดหัววะสั่น....

ตอนที่ 45 เซียงเหมี่ยงกินไก่โข่ง

พระราชา ถืกเซียงเมี่ยงตั๋วแบบจ่ะจ่ะ สองเทื่อซ้อน กะอายอย่างคักเด้... เป็นถึงพระราชา แต่ว่าถืกเซียงเมี่ยง ล่อตั๋วได้อย่างง่ายๆ ตั้งวะสองเทื่อติดๆ "แค้นนี้ต้องชำระ อายนี้ต้องเอาคืน? แล้วพระราชากะหาทางตั๋วเซียงเมี่ยง เพื่อที่สิแก้แค้น สะล่ะล่ะ (อยากแก้แค้น น่าสิกินน้ำเนาะ... หรือว่าให้ผู้อื่นทุบหลัง กะพอหายแค้นอยู่ดอกเด้อ) มื้อลุนมา พระราชา ให้ทหารคนสนิท ไปหาแฮ้งมาโตนึง แล้วกะให้พ่อครัว เฮ็ดแกงแฮ้งใส่บักโต่น หม้อนึง กับปิ้งแฮ้ง เด้ มื้อนั้น พระราชา ให้คนไปเชิญเซียงเมี่ยงมา บอกว่า เซียงเมี่ยงซ่อยบ้านเมือง ไว้หลายเทื่อแล้ว สิเลี้ยงอาหารเซียงเมี่ยง พะนะ เซียงเมี่ยง กะอุตส่าห์ดีใจ ที่หน่อยนักหน่อยหนา ที่สิได้มีโอกาส ได้กินข้าวกับพระราชา ได้กินอาหารแบบพระราชา เด้ เลากะอาบน้ำแต่งโต หวีผมเป้ย จนได้สุดหล่อของเลานั่นล่ะ... แล้วกะเข้าเฝ้าพระราชา เพื่อกินข้าวแซบๆ ว่าซั่นเถาะ พอไปฮอด คุยกัน โสเหล่กัน พอเป็นกะสัยเรียกน้ำย่อย จักหน่อยแล้ว ? เอ้า...ได้เวลากินข้าวแล้ว ไป เซียงเมี่ยง ไปกินข้าว? พระราชาเว้าแล้ว กะซี้มือ ไปทางพาข้าว สำหรับเซียงเมี่ยง พระราชาเอง กะย่างไปนั่งอยู่พาของพระราชาเด้ เซียงเมี่ยงไปนั่งอยู่พาข้าว พิจารณาเบิ่งกับข้าว ระดับพระราชามื้อนี้ แล้วกะพยายาม สูดดมกลิ่นหอมผักอี่ตู่ กลิ่นปลาแดกโหน่ง... ? มื้อนี้ ได้หยังกินน้อ นอ แม่ครัว ? พระราชาทำท่าถาม ? ที่พิเศษกะคือ ไก่โข่ง พิค่า กะเป็นแกงไก่โข่งใส่บักโต่น แล้วกะปิ้งไก่โข่ง? ? เอ้า... ของหายาก ของแซบของนัว จัดการโลดเซียงเมี่ยง? แล้วพระราชา กะจัดการกินอย่างแซบนัว แกงไก่กับปิ้งไก่ของพระราชา น่ะ เป็นไก่อีหลียุ เด้... เซียงเมี่ยงกะบิ๋ ปิ้งไก่มากิน รสชาติกะพอได้อยู่ดอก แต่ว่า มีกลิ่นกุยๆ ขึ้นดังฮินๆ เด้ ลองซดแกงไก่โข่ง กะแซบดี เอ้อ อั่นนี้ไคแหน่ บ่กุย มีกลิ่นหอมผักอี่ตู่ .. แต่ว่า ซิ้นไก่หั่งหยาบ หย่ำยาก ... สิบ่กินกะบ่ฮู้ว่าสิกินอีหยัง เพราะว่าแนวกินหลัก มันมีแค่สองอย่างท่อนั้น พระราชากะถาม เทิงเว้าอยู่เรื่อยว่า ? เป็นจั่งได๋เซียงเมี่ยง ฝีมือแม่ครัวอยู่หนี่ สู้แม่ครัวของเซียงเมี่ยงได้บ่.... กินหลายๆ เด้อ กินให้อิ่ม อย่าให้แม่ครัวเพิ่นเสียน้ำใจ? เซียงเมี่ยง กะจำใจกิน จนอิ่ม เทิงคึดว่า พระราชากะกินคือกัน กะเลยกล้ากิน นั่นล่ะว้า พอกินอิ่มแล้ว พระราชากะถามอีกว่า ? เป็นจั่งได๋ เซียงเมี่ยง แซบบ่ ?เซียงเมี่ยง กะเลยว่า ? รสชาติการปรุงน่ะ แซบดียุดอก แต่ว่าซิ้นไก่ มันหยาบ เทิงกุยนำ.. น่าสิล้างดีๆ กว่านี้? พระราชากะเลยว่า ? อั่นไก่แนวนี้ ล้างดีปานได๋ มันกะบ่เซากุยเด้อ เพราะว่าเป็นไก่โข่ง ไก่โตบักใหญ่ ที่มันมักกินซากงัวควาย? ? หมายถึงอีหยัง พะเจ้าค่า ? พระราชา ทำทรงหันไปทางแม่ครัว นางสนมกำนัลทั้งหลาย แล้วกะถามว่า ? แมนอีหยังเกาะฮึ ชื่อที่มักเอิ้นกันน่ะ ?? แฮ้ง ? ซุมที่นั่งอยู่แถวนั้นพากันตอบดังๆ ? แฮ้ง วะติ หมู่เจ้าเอาแฮ้งมาเฮ็ด ให้เซียงเมี่ยงกินวะติ... แล้วอั่นที่เฮากินนี่ล่ะ? ? อั่นนั่นน่ะ เป็นไก่อีหลี พิคะ ? แล้วพระราชา กะตบมือหัวร่อเซียงเมี่ยง เว้าว่า ? เซียงเมี่ยงกินแฮ้ง เซียงเมี่ยงกินแฮ้ง...ในที่สุดเซียงเมี่ยง ผู้หัวดีปัญญาหลาย กะถืกเฮาตั๋วจนได้?

ตอนที่ 46 พระราชากินขี้แฮ้ง

เซียงเมี่ยง พอแต่ฮู้ว่า ถืกตั๋วให้กินแฮ้ง กะสูนวะสั่น สูนปานได๋ กะได้แต่สูนนั่นล่ะ เพราะว่าผู้ตั๋วเป็นพระราชา สิจับมาลงโทษกะบ่ได้ เซียงเมี่ยง กะเลยแบกความสูน ย่างกลับบ้าน ไปจกคอฮาก แล้วกะรอคอยโอกาส ตั๋วแก้แค้นพระราชา ? ตั๋วให้เฮากินซิ้นแฮ้ง.. ต้องแก้แค้นด้วยขี้แฮ้ง จั่งค่อยสิหายแค้น? คึดแล้ว เซียงเมี่ยงกะย่างออกท่ง ไปดงแฮ้ง เก็บเอาขี้แฮ้ง มาผสมกับดินชนวน ปั้นเป็นดินสอ สำหรับเขียนกระดานชนวนเนาะ ปั้นตากแห้งเรียบร้อยแล้ว กะเหลือแต่รอคอย โอกาสเหมาะๆ ท่อนั้นตั้ว อีกหลายมื้อต่อมา เสนาอำมาตย์ เทิงเซียงเมี่ยงนั่นล่ะ เข้าเฝ้าพระราชา หารือข้อราชการ เกี่ยวกับทางสำหรับสัญจรไปมา ว่าสิขุดคลองน้ำไปทางได๋ สิเฮ็ดถนนไปทางได๋แหน่ จั่งสิดี... พระราชา กะถามเสนาอำมาตย์ผู้นั้นผู้นี้เด้ เสนาอำมาตย์ กะเอากระดานชะนวน มาขีดเขียนวาดรูป ตามที่เจ้าของคิดเนาะ.... พระราชา พิจารณาของผู้นั้นผู้นี้แล้ว กะบ่ถืกใจ กะอยากรวมวิธีการ ของผู้นั้นผู้นี้ เพิ่นกะเลยสิเสนอความคิด หลังจากรวบรวมแล้วแล้ว กะเลยขอกระดานชะนวน กับดินสอจากเซียงเมี่ยง ได้จังหวะพอดี สะล่ะล่ะ เซียงเมี่ยง กะเอาดินสอขี้แฮ้งนั่นล่ะ ให้พระราชา พระราชา กะเอาดินสอขี้แฮ้ง เขียนกระดาน เขียนออกบ่ค่อยดี กะเลยใช้ลิ้นเลีย หรือฮาลังเทื่อ กะเอาจุ่มน้ำลายในปาก แล้วกะเอามาเขียน เด้ อม เขียน อม เขียน อยู่จั่งซั่นล่ะ จนดินสอเหมิดไปเคิ่งแท่ง เซียงเมี่ยง เลากะนั่งยิ้มย่วยๆ แหล่วเนาะ มีตอนนึง ขี้แฮ้งมันเป็นก้อนอยู่ พระราชาเพิ่นอมถืกหม่องหนั่น กะฮู้สึกเหม็นๆ ... อีหลีแล้ว เพิ่นได้กลิ่นเหม็นๆ ตั้งแต่ดนแล้วล่ะหวา... กะเลยถามว่า ? ดินสออั่นนี้ คือเขียนบ่ค่อยดี คือมีกลิ่นเหม็นๆ ตะหนุ่ย ตะหนุ่ย? เซียงเมี่ยงกะเลยว่า ? ดินสอขี้แฮ้ง มันกะกลิ่นจั่งซี้ล่ะ พะเจ้าค่า ปกติ ข้าพระองค์สิจุ่มน้ำ สิบ่จุ่มน้ำลาย? ? แล้วมึงเป็นหยังบ่บอกกู มึงเป็นหยังบ่ตักน้ำมาให้กู มึงล่อให้กูกินขี้แฮ้งแมนบ่? พระราชาเลาสูนอย่างคักเด้

ตอนที่ 48 ดินปี้น

เซียงเมี่ยง แต่ผัดถืกปลดออกจากราชการ ชีวิตกะลำบาก เทิงบ่มีเกียรติ บ่มีศักดิ์ศรี เทิงอยากอายคน นำล่ะหวา คึดหวังไว้ว่า จักมื้อนึง สิเข้ารับราชการอีกให้ได้ เดือนห้าม้อย ขอยลอยกายผ่าน เดือนหกคุ้ม กายก้ำย่ายมา ฤดูกาล ฝนฟ้า ครืนคะนอง ฮำฮด เม็ดฝนหยดหยาดโฮย หลั่งละออง รินน้ำ ไฮ่นากว้าง ชุ่มดินฝนแทรก ไถฮุดไว้ นาโห่งเตรียมดิน ฝนตกซ้ำ หลูหลั่งละอองไหล น้ำโห่งนา ปูปลาเกียกบ้อน กบเขียดฮ้อง แมงระงำ ฮวกอ่อน พากันล่อยเลาะเล่น ระบำฟ้อนตื่นฝน นั่นเด้อ... เซียงเมี่ยง รอคอยจนฮอดเดือนหก ฝนตกโฮยฮำนาแล้ว ชาวนากะพากันไถฮุดนา เตรียมดินสำหรับดำนา ซั่นแหล่ว ดินที่ถืกไถฮุด หน้าดิน กะสิปิ้นพลิกลง ไปอยู่ทางล่าง น้อ ดินที่เคยอยู่ทางล่าง กะถืกพลิกปิ้นมาไว้ทางเทิง เซียงเมี่ยงเห็นแล้ว คึดว่า นี่เป็นจังหวะดี ที่สิได้กลับคืนรับราชการ กะเลยแต่งโตหล่อๆ หวีผมเป้ย เดินทางไปขอเข้าเฝ้าพระราชา ถึงทหารสิห้ามไว้ กะบอกว่ามีเรื่องด่วนสิกราบทูล จนในที่สุด ได้เข้าเฝ้าพระราชา พระราชากะถามว่า ? มึงมีเรื่องสำคัญอีหยัง ? ? เรื่องสำคัญกะคือ ข้าพระองค์สิกลับมารับราชการ สนองคุณแผ่นดินอีก พะเจ้าค่า? ? กะกูบอกมึงแล้ว ว่าบ่ต้องมาให้กูเห็นหน้าอีก ตราบจนดินพลิกปิ้น ...มึงจำบ่ได้ติ? ? จำได้อย่างดี พะเจ้าค่า แต่ว่าตอนนี้ ดินได้พลิกปิ้นแล้ว เด้ พะเจ้าค่า? ? หา??? มึงเอาหยังมาเว้า ดินอยู่ไสพลิกปิ้น? ? พระองค์บ่เห็นติพะเจ้าค่า ตอนนี้ เริ่มเข้าหน้าเฮ็ดนา ชาวนาพากันไถฮุดนา ปิ้นดินขึ้นเหมิดแล้ว พะเจ้าค่า... ตอนนี้ ดินได้พลิกปิ้นแล้ว เป็นเวลาที่ข้าพระองค์ ต้องกลับมารับราชการแล้ว พะเจ้าค่า? พระราชา ฟังเหตุผลของเซียงเมี่ยง กะเข้าท่าดีอยู่ เทิงตอนนี้ กะมีจดหมายท้าประลอง จากต่างเมืองเข้ามา คันมีเซียงเมี่ยง ซ่อยคิดแก้ปัญหา กะคือสิดีอยู่ กะเลยอนุญาต ให้เซียงเมี่ยง กลับเข้ารับราชการคือเก่า สะล่ะล่ะ

ตอนที่ 49 แข่งวาดรูปสัตว์

ยังมีเมืองใหญ่กว้างเมืองนึง ชื่อว่าเมือง พารา อยู่เมืองนี้ ข้าวน้ำซ่ามปลา กะอุดมสมบูรณ์ดี ชาวเมืองกะพากันอยู่เย็นเป็นสุข ความฮู้ การเรียน การศึกษาศิลปวิชา กะรุ่งเรื่องดี นักปราชญ์กะหลาย เด้ อยู่เมืองพารา มีท้าวอั่นนึง (เอิ้นเลาว่า ท้าวเขียน ซะเนาะ) ท้าวเขียน เลากะเก่งทางขีดๆ เขียนๆ นั่นล่ะ เลาวาดรูปเก่ง วาดได้เร็ว ได้งามคัก แล้วกะ ความสามารถเฉพาะโต อีกอย่างนึงของเลากะคือ ในระยะเวลาแค่กะโดดเทื่อเดียว สามารถวาดรูปได้เสร็จ มีรายละเอียดเรียบร้อย ว่าซั่นเถาะ ช่วงนึง เมืองพาราจัดประกวดวาดรูปเนาะ ท้าวเขียน กะเข้าแข่งนำเขาเด้ แล้วกะชนะเลิศในเมืองพารา เจ้าเมืองเห็นความสามารถเฉพาะโต ของท้าวเขียนแล้ว คิดอยากใช้ให้เป็นประโยชน์ กะเลยส่งท้าวเขียน ไปแข่งกะโดดวาดรูป เอาบ้านเอาเมือง กับเมืองนั่นเมืองนี้ รูปที่กะโดดวาดแข่งขันกัน กะคือ รูปสัตว์ เพราะเจ้าเมืองเลาเห็นว่า รูปสัตว์ มีรายละเอียดหลาย กั่วรูปแนวอื่น อย่างเช่น รูปภูเขา รูปอีตาเว็น รูปอีเกิ้ง มันกะวาดบ่ยากปานได๋ กะเลยกำหนดอย่างชัดเจนว่า ? แข่งกะโดดวาดรูปสัตว์ ? ซั่นเด้ คณะของท้าวเขียน ไปแข่งกะโดดวาดรูปสัตว์ กับเมืองได๋ กะชนะทุกเทื่อ ได้บ้านเมืองเขามาหลายหม่องแล้ว.... ในที่สุด กะมาเถิงคราวของเมืองทวาลี สะล่ะล่ะ พระราชา ได้รับจดหมายท้าประลองแล้ว กะให้ป่าวประกาศ หาผู้ที่มีความสามารถ วาดรูปได้งาม เร็ว ให้มาชุมนุมกัน เพื่อคัดเลือก ว่าซั่นเถาะ ช่วงนี้ เซียงเมี่ยง อยู่ในระหว่างถืกไล่ออก จากราชการเนาะ กะฮู้ข่าวคือกันนั่นล่ะ แต่ว่ากะทำเสยไว้..... คนที่มาชุมนุมกันทั้งหลาย ผู้ที่วาดเร็ว เก่งที่สุด กะยังบ่สามารถสิวาดรูปได้แล้วเสร็จ ภายในเวลาแค่การกะโดดเทื่อเดียว คือว่า กะโดดขึ้น พอแต่เขียนได้ขีดสองขีด เส้นสองเส้น ขากะตกเหยียบพื้นแล้ว นั่นหนา พระราชากะฮู้สึกฮ้อนฮน บ่ฮู้ว่าสิเฮ็ดแนวได๋ดี เซียงเมี่ยงกะถืกไล่ออกไปแล้ว สิไปนำหามัน ขอร้องมันให้กลับคืนมา กะเสียเกียรติ เสียสัตย์ กะเลยได้แต่นั่งอุกอั่งเอ้า แน่นอั่งในมโน ซั่นแหล่ว.... พอดี เซียงเมี่ยง กะมาขอเข้าเฝ้า บอกว่าดิ้นได้ปิ้นแล้ว ขอมารับราชการคือเก่า พระราชากะเลย ให้เซียงเมี่ยง เป็นคนจัดการ เรื่องกะโดดแข่งวาดรูปสัตว์ สะล่ะล่ะ.... พอฮอดมื้อแข่งขัน.... ชาวเมืองที่รอเบิ่งการแข่งขัน กะมาชุมนุมอยู่ลานแข่งขัน เป็นที่เรียบร้อย.... ท้าวเขียนแห่งเมืองพารา ลุกขึ้นย่างอย่างองอาจ หยิบพู่กันขึ้นมา จุ่มหมึก ย่างอาดอาด ไปเลาะผนังกำแพง... กลั้นหายใจรวมพลัง แล้วกะกะโดดขึ้น เห็นแต่พู่กันตวัดฟับฟับ.. พอขาเลาตกเหยียบพื้น รูปสิงโตผงาดโตนึง กะแล้วเสร็จสมบูรณ์ อย่างสวยงาม ชาวเมืองกะตบมือโห่ฮ้อง แซ่ซ้อง ออนซอน.... มาฮอดทีของเซียงเมี่ยงสะล่ะล่ะ... เซียงเมี่ยง กะลุกขึ้นย่างอาดอาด ไปเลาะกะปุกหมึก ชูมือขวาขึ้น ให้ชาวเมืองเบิ่ง เป็นทำนองว่า ?ระดับข้อย.. เซียงเมี่ยง.. บ่จำเป็นต้องใช้พู่กันดอก.. ใช้แค่นิ้วมือนี่ล่ะ? ว่าเด้ จากนั้นเซียงเมี่ยง กะเอามือทั้งห้านิ้วจุ่มหมึก ย่างอาดอาด ไปเลาะผนังกำแพง... ทำทรงเป็นกลั้นหายใจ ผนึกลมปราณน้อ แล้วกะกะโดดขึ้น เอามือไปแตะผนัง แล้วกะตวัดซ้ายขวาจักหน่อย... พอแต่ตีนตกเหยียบพื้น กะเห็นเป็นเส้นงอง่องแง่ง เป็นทางยาวลงมาห้าเส้น ชาวเมือง กะพากันโห่เซียงเมี่ยง คณะของท้าวเขียน กะหัวเราะเยาะเซียงเมี่ยง ว่า วาดรูปบ่เป็น กะมาแข่งให้เสียเมืองน้อ... แล้วกะถามเซียงเมี่ยงว่า ? นี่มันรูปอีหยัง รูปแม่น้ำทั้งห้าบ้อ???? 5555555555 (เสียงหัวร่อเด้หนิ ) เซียงเมี่ยง กะเลยเว้าว่า ? หยุดก่อน หมู่เจ้าอย่าฟ้าวหัวร่อ.... รูปที่หมู่เจ้าเห็นน่ะ คือรูป ขี้ไก่เดียน ท้าวเขียน วาดรูปสัตว์ได้แค่หนึ่งโต แต่ว่า ข้อยสามารถวาดได้ ตั้งวะห้าโต วาดได้หลายกั่วท้าวเขียน ตั้งวะสี่โต ข้อยวาดได้เร็วกั่ว ข้อยคือผู้ชนะ? ? ฮ่วย จั่งได๋จั่งเอาขี้ไก่เดียนมาวาดเดียวหนิ.. ท้าวเขียนวาดสิงโต เซียงเมี่ยง กะควรสิวาดสิงโตคือกันนั่นตั้ว มันจั่งสิสมกัน...? ? กะซ่างเหล่ว... กติกาบอกว่าให้ แข่งกะโดดวาดรูปสัตว์ บ่ได้กำหนดว่า เป็นสัตว์อีหยังแมะ... ข้อยวาดได้ชนะท้าวเขียนสี่โต กะแล้วกันล่ะ? ในที่สุด คณะของท้าวเขียนแห่งเมืองพารา หาข้อโต้แย้งบ่ได้ กะต้องแพ้ปัญญา ของเซียงเมี่ยง เสียเมืองให้เมืองทวาลี สะล่ะล่ะ

ตอนที่ 50 แข่งตอบปัญหาธรรมะ

เมืองธานี ที่ผ่านมา กะพยายามท้าประลองกับเมืองทวาลี ตั้งวะหลายเทื่อ แต่กะต้องแพ้ปัญญาเซียงเมี่ยง กลับไปทุกเทื่อ เจ้าเมืองเอง กะหาทางสิเอาชนะ เมืองทวาลีอยู่ตลอด ในที่สุด กะคึดออก... อยู่เมืองธานี การเรียนการศึกษาธรรมะ ศึกษาพระไตรปิฏก ของพระเณรทั้งหลาย กะอยู่ในระดับที่ดี บ่แพ้เมืองลงกาเด้ พระเถระผู้ที่เก่งๆ ช่ำชองพระไตรปิฏก กะมีหลายคักเติบ เจ้าเมือง กะเลยคึดสิส่งพระเถระ ไปประลองตอบปัญหาธรรมะกัน กับพระเมืองทวาลี สะล่ะล่ะ ... หวังสิหลีกเลี่ยงเซียงเมี่ยง นั่นล่ะหวา.... เจ้าเมืองธานี คัดเลือกพระเถระเก่งๆ ได้สามรูป เพื่อส่งไปโต้ตอบปัญหาธรรม กับพระเมืองทวาลี แล้วกะส่งใบบอก ไปแจ้งแก่พระราชาเมืองทวาลีเด้ พระราชา กะเอิ้นประชุมเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย คือเก่านั่นล่ะ.... ผลสุดท้าย กะหาพระที่เก่ง สู้พระเมืองธานีบ่ได้ แล้วกะให้เซียงเมี่ยง เป็นคนจัดการคือเก่า นั่นล่ะ... พอดี เซียงเมี่ยง เลาอายุครบบวชพระแล้ว กะเลยลาพระราชา ขอบวชพระ เด้ หลังจากบวชแล้ว กะได้ฉายาว่า ธนญฺชโย คันสิเอิ้นว่า พระเมี่ยง ธนญฺชโย กะบ่ม่วนดี เทิงบ่อยากให้พระเมืองธานี สงสัยนำนั่นล่ะ กะเลยเปลี่ยนชื่อเป็น ธนญชัย พระธนญชัย ธนญฺชโย กะไปอยู่วัดวัง ซึ่งเป็นวัดที่สิจัดงาน ตอบปัญหาธรรมะเด้ พระเถระเมืองธานี เดินทางมาฮอด เข้าเฝ้าพระราชาแล้ว กะได้มาพักอยู่วัดวังคือกัน โดยมีเซียงเมี่ยง หรือพระธนญชัย เป็นผู้คอยเบิ่งแยงดูแล ว่าซั่นเถาะ ช่วงค่ำน้อ พระธนญชัย กะหาน้ำฮ้อนน้ำยา ไปถวายพระเมืองธานีเด้ พระเมืองธานี อยากฮู้ลึกตื้นหนาบาง ของการศึกษา ของพระเมืองทวาลี เพื่อประเมินว่า เจ้าของสิชนะหรือบ่นั่นล่ะ กะเลยถามพระธนญชัย ...เข้าแผนเซียงเมี่ยงพอดี... ? ท่าน ชื่อว่าจั่งได๋ ? ? ชื่อว่า ธนญชัย ธนญฺชโย ขอรับ ? ? บวชได้ดนแล้วบ้อ ? ? บวชได้บ่ทันดนดอก ขอรับ กะได้เรียนธรรมะนิดๆ หน่อยๆ จากพระอาจารย์? ? เอ ปกติแล้ว พระเมืองทวาลี ได้เรียนธรรมหมวดได๋แหน่ล่ะ? ? กะมีเรียน มีสอนเหมิด ทั้งพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรมนั่นล่ะ เทิงอรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา กะเรียนเหมิด... แล้วเมืองธานีล่ะ ขอรับ?? ? อยู่เมืองธานี กะเรียนเหมิดคือกัน ท่องจำได้ ตอบปัญหาได้สบาย.. คันท่านมีข้อสงสัยอีหยัง กะถามได้เด้อ? พระธนญชัยกะเลยถามว่า ? ปู่ ของปู่ ของปู่ ของปู่ ของปู่ ของปู่ ของปู่ ของปู่ ของปู่ ของปู่ ของปู่ ของปู่ ของปู่ ของปู่ ของปู่ ของปู่ ของพระพุทธเจ้า ชื่อว่าจั่งได๋...? ? ฮ่วย คำถามแบบนี้ มันบ่เกิดประโยชน์ เขาบ่เรียนบ่สอนกัน ผู้ได๋สิไปฮู้? ? เอ๋า... คำถามนี้ เป็นคำถามพื้นๆ เกี่ยวกับพุทธประวัติ ยังบ่ทันได้ลงลึก ไปเถิงหมวดอภิธรรม ยังบ่ฮู้ ยังตอบบ่ได้ คันสิแข่งกับพระเมืองทวาลี กะต้องแพ้ลูกเดียว แพ้แน่ๆ ขะผมบ่บอกคำตอบดอก มื้ออื่น สิให้พระอาจารย์ ถามคำถามนี้ล่ะเป็นคำถามแรก แฮกหมาน... ขอโตก่อนเด้อขอรับ? พระธนญชัยเว้าจบ กะต่อดหยับออก ลุกย่างหนี ปล่อยให้พระเมืองธานี คึดหนักเอาเองสะล่ะล่ะ พระเมืองธานี ได้ยินจั่งซั่น กะย่านแพ้น้อ คันถืกถามอีหลี ตอบบ่ได้ กะเป็นตาอยากอาย เสียหน้าไปฮอดเจ้าเมืองธานีอีกต่างหาก คิดจั่งซั่นแล้ว กะเลยทำเป็นบ่สำบาย ขอยกเลิกการโต้ตอบปัญหาธรรมะ ลากลับเมืองธานี ซั่นแหล่ว เซียงเมี่ยง กะซ่อยรักษาหน้าให้เมืองทวาลีไว้ได้อีกเทื่อนึง จั่งซี้ล่ะ

ตอนที่ 51 ขอผู้สาว

หลังจากพระเมืองธานีย่านแพ้ แล้วกะเดินทางกลับไปแล้ว พระธนญชัย (หรือว่าเซียงเมี่ยง) กะอยู่เป็นพระต่อไป อีกจักหว่างจักคราว แล้วกะสึกออกมา เป็นทิดเมี่ยง เด้ บาดตาทีเนียะ สึกออกมาแล้ว พระราชาเห็นความดีความชอบ กะพระราชทานรางวัล คนรับใช้ พร้อมเทิงเลื่อนยศขึ้น ให้เป็นขุน แล้วกะแต่งตั้งซื่อให้ใหม่ ที่เอิ้นว่าราชทินนาม นั่นหนา เอาตามชื่อตอนที่เป็นพระนั่นล่ะ เพิ่มคำว่า ศรี เข้าไป เป็นขุนศรีธนญชัย ตั้งแต่นั่นมา คนทั้งหลาย กะเอิ้นเซียงเมี่ยงหรือว่าทิดเมี่ยง ว่า ขุนศรีฯ หรือ ขุนศรีธนญชัย สะล่ะล่ะ.... เว้าพื้นขุนศรีธนญชัย น้อ บวชเณรกะบวชแล้ว บวชพระกะบวชแล้ว ... เหลือแต่บวดบักอึ บวดบักแตง นั่นล่ะ ที่ยังบ่ทันได้บวด ... บ่แมนแนวน้าน... เหลือแต่เรื่องลูกเรื่องเมียนั่นล่ะ ยังบ่ทันมีประสบการณ์... ซั่นดอก ขุนศรีไท้ ใจวอยๆ อยากได้ซู้มาซ้อนบ่อน อยากสินอนฮ่วมข้าง พระนางน้องผู้คิงกลม คึดอยากห่มผ้าเนื้อ คิงอุ่นอ่อนนุ่มเนียนนวล คือสิอุ่นในใจ เหงาคลาย หายกลุ้ม แท้น้อ... ขุนศรีฯ เลากะคึดอยากได้เมีย ว่าซั่นเถาะ กะเลยต้องหาผู้สาวผู้งามๆ มาเป็นเมียเด้ ขุนศรีฯ กะให้คนรับใช้ ออกไปเลาะหาตามบ้านต่างๆ คันเห็นผู้สาวผู้งามๆ กะให้มาบอก สิได้ไปเบิ่งแล้วกะเลือกเอา ว่าเด้ พวกคนใช้ของขุนศรีฯ กะเลาะเข้าบ้านนั่นออกบ้านนี่ เห็นผู้ได๋ทรงงามๆ กะมาบอกให้ขุนศรีฯ ไปจอบเบิ่งเอาเอง .... ขุนศรีฯ กะไปเบิ่งแล้วเบิ่งอีก กะบ่ถืกใจจักคน บ่ตรงสเป็กเลานั่นล่ะว๋า จนมาฮอดลูกสาวของเศรษฐีผู้โด่งดัง แล้วกะร่ำรวยผู้นึง ขุนศรีฯไปจอบเบิ่งแล้ว..... "โฮ้... งามอีหลี งามคักงามแน่... จั่งซี้แหน่แหม จั่งสิเหมาะสมกับกูขุนศรีฯ? พะนะ ขุนศรีฯ เห็นปุ๊บ กะมักปั๊บ สะล่ะล่ะ จากนั้น กะให้อำมาตย์ผู้ใหญ ่เป็นเถ้าแก่ไปสู่ขอ เศรษฐี เลากะฮู้ชื่อเสียงของขุนศรีฯ เป็นอย่างดี ว่าเป็นคนฉลาด หัวดี แล้วกะตั๋วเก่ง โกงเก่ง... เลาบ่มักขุนศรีฯ มาแต่ได๋แล้ว บ่อยากได้เป็นลูกเขยซั่มแหม... แต่ว่าคันสิปฏิเสธไปตรงๆ ว่าบ่ยกลูกสาวให้ กะเกรงใจอำมาตย์ ผู้ที่เป็นเถ้าแก่ นั่นหนา กะเลยหาทางออก ทางเลี่ยงอย่างอื่นเด้ เศรษฐีเลาคึดว่า ขุนศรีฯ บ่ได้เป็นเศรษฐี บ่มีทางมีเงินมีทอง หลายแท้ๆ ต้องเรียกค่าสินสอดแพงๆ กะเลยเว้าว่า ? ลูกสาวของเฮาผู้นี้ เฮาฮักปานแตง แพงปานตา เลี้ยงได้ใหญ่มาจนงามปานนี้ ใช้เงินทองไปกะหลาย ดังนั้นขอคึดค่าสินสอด เป็น ทองพันชั่ง กับ เงินพันหาบ ถ้าขุนศรีฯ สามารถหาค่าสินสอดนี้ได้ เฮากะสิยกลูกสาวให้... ว่าจั่งได๋ล่ะ.. ตกลงบ่???? ขุนศรีฯกะเลยว่า ? ทองพันชั่ง กับเงินพันหาบ วะติ ? ? เอ้อ ทองพันชั่ง กับ เงินพันหาบ ? เศรษฐีตอบช้าๆ ชัดๆ ? คันจั่งซั่น กะตกลง ข้อยสิหามาให้ได้ตามนี้เลย... ขอให้ท่านอำมาตย ์เป็นพยานเด้อ? อำมาตย์ กะรับปากเป็นพยาน เทิงคึดว่า ค่าสินสอดแพงปานนี้ ขุนศรีฯ สิเอาเงินเอาทองมาแต่ไส ??? จากนั้น กะหามื้อหาเว็น หามื้อสีวันดัน มื้อสันวันดี ที่สิกินดอง เด้ พอฮอดมื้องานกินดอง ทางขุนศรีฯ กะจัดขบวนแห่ขันหมาก อย่างใหญ่โตมโหฬาร ขบวนแห่ยาวเหยียด แห่มาจนฮอดบ้านเศรษฐี... เศรษฐีได้ยินเสียงโห่ฮ้อง กะออกมาซอมเบิ่ง เทิงสงสัยว่า บักขุนศรีฯ มันสิเอาทองมาแต่ไส หรือว่า มันสิมาล่อตั๋วเอาลูกสาวไป... กะได้แต่เตรียมโต ต้อนรับขุนศรีฯ สะล่ะล่ะ พอขุนศรีฯ มาฮอดเฮือน เศรษฐีกะถามว่า ? ไสล่ะ สินสอดตามที่ตกลงกัน คันหามาบ่ได้ กะบ่ต้องขึ้นเฮือน ให้ยกขบวนกลับไปซะ? ขุนศรีฯ กะหันหน้าไปทางขบวนแห่ แล้วกะว่า ? สินสอดอย่างแรก... ทองพันชั่ง ...หมู่เจ้าเอาทองพันชั่ง มามอบให้เศรษฐี เดียวนี้? คนของขุนศรีฯ สี่คนกะแบกลังไม้ มาวางไว้ต่อหน้าเศรษฐี... พอเปิดออก กะเป็น ต้นทองพันชั่ง ต้นนึง ? ทองพันชั่ง กูหมายถึง ทองคำ หนักหนึ่งพันชั่ง บ่แมน ต้นทองพันชั่ง เด้เดียวหนิ ในเมื่อหามาบ่ได้ ผิดสัญญา งานแต่งกะเป็นอันยกเลิก? ? เดี๋ยวก่อน ท่านเศรษฐี ในสัญญาบอกว่า สินสอด คือ ทองพันชั่ง บ่ได้เจาะจงว่า เป็นทองคำ หนักหนึ่งพันชั่ง ฉะนั้น ข้อยเอา ทองพันชั่ง ที่เป็นต้นไม้ มาเป็นสินสอด กะบ่ได้ผิดสัญญาเด้... แมนบ่ท่านอำมาตย์? ขุนศรีฯ หันไปถามอำมาตย์ ที่เป็นพยาน อำมาตย์ กะว่า ? เว้าจั่งซี้กะถืก คือกัน ขุนศรีกะบ่ได้ผิดสัญญา? เศรษฐี หาข้อโต้แย้งบ่ได้ เหลียวไปทางขบวนแห่ยาวเหยียด เห็นคนยืนหาบหาบอย ู่เป็นแถวยาวลาดฟาด คำนวณเบิ่ง บ่น่าสิต่ำกว่าพันหาบ กะคึดว่า ? บ่ได้ทอง กะยังเหลือเงินอีกพันหาบ? กะเลยถามต่อว่า ? แล้วเงินพันหาบล่ะ อยู่ไส ? ขุนศรีฯ กะหันไปบอกคนของเจ้าของว่า ? สินสอดอย่างที่สอง... เงินพันหาบ... หมู่เจ้าเอาเงินพันหาบ มามอบให้เศรษฐี เดียวนี้? คนของขุนศรีฯ ที่หาบหาบอยู่ กะพากันหาบหาบ มาปลงไว้เดิ่นบ้านของเศรษฐี เศรษฐีกะยืนกอดเอิ่กซอมเบิ่ง จากนั้น กะย่างไปเปิดผ้าคลุมกะต่าออกเบิ่ง มีแต่ ใบเงิน กะยังว้ากะยังว่า ? เงินพันหาบ กูหมายถึง เงิน จำนวนหนึ่งพันหาบ? ? นี่กะ เงิน จำนวนหนึ่งพันหาบแล้วเด้? ขุนศรีฯรับรอง ? บ่แมน เงินที่เป็นใบไม้ ใบเงินเด้เดียวหนิ หมายถึง เงิน เงิน ที่เป็นโลหะเงิน นั่นหนา ?. ในเมื่อ หามาบ่ ได้ ผิดสัญญา งานแต่งกะเป็นอันยกเลิก? ? เดี๋ยวก่อน ท่านเศรษฐี ในสัญญาบอกว่า สินสอด คือ เงินพันหาบ บ่ได้เจาะจงว่า เป็นโลหะเงิน ฉะนั้น ข้อยเอา เงินที่เป็นใบไม้ มาเป็นสินสอด กะบ่ได้ผิดสัญญาเด้..... แมนบ่ท่านอำมาตย์? ขุนศรีฯ หันไปถาม อำมาตย์ที่เป็นพยาน อำมาตย์ กะว่า ? เว้าจั่งซี้กะถืก คือกัน ขุนศรีกะบ่ได้ผิดสัญญา? ในที่สุด เศรษฐีกะต้องยกลูกสาว ให้ขุนศรีฯ ทั้งๆ ที่บ่ อยากยกให้ สูนให้ขุนศรีฯ กะพองกัน ขุนศรีฯ ได้ลูกสาวเศรษฐีมาเป็นเมีย ด้วยสินสอด คือ ต้นทองพันชั่ง หนึ่งต้น กับใบเงินพันหาบ ปานวะได้ฟรี กะยังว้ากะยังว่า

ตอนที่ 52 พนันฮู้ใจ

ขุนศรีฯกับลูกสาวเศรษฐี อยู่นำกันเป็นสามีภรรยา อย่างมีความสุข แบบข้าวใหม่ปลามันเนาะ เรื่องเงินคำกำแก้ว ขุนศรีฯเป็นคนหา ภรรยาเป็นคนใช้ (เป็นคนใช้เงินเด้อ บ่แม่นคนรับใช้) กะเลาเป็นลูกสาวเศรษฐีเนาะ เคยใช้เงินหลายจั่งได๋ กะใช้จั่งซั่นคือเก่า ขุนศรีฯบ่ได้เป็นเศรษฐี เป็นแค่ข้าราชการเงินเดือนหน่อยๆ บ่มีเงินพอให้เมีย เอาไปใช้ฟุ่มเฟือยแบบนี้เดิ๊ก... บ่ทันดนปานได๋ เงินทองที่เก็บสะสมไว้ กะเริ่มร่อยหรอลง จนเกือบใกล้สิเหมิด เมียขุนศรีฯ เห็นเงินเหลือหน่อย ใช้สอยบ่สะใจ กะเลยบอกขุนศรีฯว่า ? ตอนนี้เงินเหลือหน่อยคักแล้ว บ่มีเงินใช้จ่ายในบ้าน เจ้าฟ้าวไปหาเงิน มาให้ข้อยแหน่? ? เอ้อ เอ้อ เดี๋ยวสิหามาให้ดอก ? ว่าซั่น ขุนศรีฯกะดาย มื้อลุนมา ขุนศรีฯ กะไปเฮ็ดงานในวังคือเก่านั่นล่ะ ขุนศรีฯ กะเว้าให้พวกเสนาอำมาตย์ ทั้งหลายฟังว่า เจ้าของมีวิชาดี สามารถฮู้ใจของผู้อื่น ทายใจผู้อื่นได้ถืกต้องบ่มีผิด ว่าซั่นเด้.... พวกเสนาอำมาตย์ฟังแล้ว กะบ่เชื่อ หาว่าขุนศรีฯ ขี้คุย ขี้โม้ ... ขุนศรีฯกะเลยว่า ? คันบ่เชื่อ กะมาพนันกันเบิ่งตี้ล่ะ... ข้อยสิทายใจหมู่เจ้าทุกคนให้เบิ่ง... คันข้อยทายใจผู้ได๋บ่ถืก ถือว่าข้อยแพ้พนัน.. พนันท่อได๋ข้อยกะยอมจ่าย? พวกเสนาอำมาตย์ กะพากันคึดว่า ? ผู้ได๋สิมาทายใจผู้อื่นได้ถืก... ถึงสิทายถืก เฮาบอกว่าบ่ถืก สิเอาหลักฐานมาแต่ไส ว่าเฮาได้คึดจั่งซั่นอีหลี... บักขุนศรีฯมันคือโง่แท้ หาเรื่องเสียเงินชัดๆ"กะเลยพากันพนันกับขุนศรีฯ ผู้ละบ่ต่ำกั่วพันตำลึง ก๋าว่างวดนี้รวยคักๆ .... ขุนศรีฯ กะรับพนันกับทุกคน อย่างบ่สะทกสะท้าน จากนั้นกะว่า ? ถ้าสิให้ดี เพื่อความยุติธรรม ควรสิไปทายใจต่อหน้าพระราชา ดีกั่ว? เสนาอำมาตย์กะเห็นดีนำ ..... ช่วงที่เข้าเฝ้าพระราชา อำมาตย์ใหญ่ กะทูลพระราชาให้ฮู้เรื่อง แล้วกะขอให้พระราชาเป็นพยาน เด้ พระราชากะว่า ? เอ้อ ดีคือกัน สิได้ฮู้ว่าผู้ได๋คึดจั่งได๋ ผู้ได๋คิดบ่ซื่อ บ่ตรง? จากนั้น ขุนศรีฯ กะเริ่มทายใจเสนาอำมาตย์ทั้งหลายว่า ? เสนาอำมาตย์ทั้งหลาย ทุกผู้ทุกคน บ่มีผู้ได๋คึดคดทรยศ ต่อพระองค์ ดอก จิตใจของเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย จงรักภักดีต่อพระองค์ กันทุกคน พะเจ้าค่า? ? แมนจั่งซั่นอีหลีบ่ เสนาอำมาตย์ ใจของหมู่เจ้า จงรักภักดีต่อเฮา จั่งขุนศรีฯทายบ่?"เสนาอำมาตย์ทั้งหลาย ต่างเว้าเป็นเสียงเดียวกันว่า ? แมนแล้ว ถืกต้องแล้ว พะเจ้าค่า ? เสนาอำมาตย์ บ่มีไผกล้าบอกว่า ขุนศรีฯทายผิด เพราะถ้าเป็นจั่งซั่น กะเท่ากับว่า เจ้าของ บ่จงรักภักดีต่อพระราชา อาจถืกตัดหัวได้... กะเลยยอมรับ แล้วกะยอมเสียพนันให้ขุนศรีฯ มื้อนั้น ขุนศรีฯ ได้เงินพนันจากเสนาอำมาตย์ ตั้งวะหลายกระสอบ... รวยเลยแหล่ว

ตอนที่ 53 ขอคนของหมู่มาเฮ็ดเสาเล้าไก่

ขุนศรีฯ เลามีหมู่มีพวกหลายพอสมควร เทิงถืกกันแหน่ บ่ค่อยถืกกันแหน่ นั่นล่ะ หมู่พวกแบบ หาเรื่องกัดกันไปกัดกันมา กะมีหลายคือกัน มีหมู่ผู้นึง (เอิ้นเลาว่า ขุนเกิ่ง ซะเนาะ) ขุนเกิ่งเป็นหมู่ขุนศรีฯ ที่บ่ค่อยยอมกันเด้ กัดกันไปกัดกันมานั่นล่ะ... แต่ว่าคันผู้ได๋เดือดร้อน กะซ่อยเหลือกันคือเก่านั่นล่ะ ช่วงนึง ขุนศรีฯ เลาสิเฮ็ดเล้าให้ไก่น้อ คนใช้ของขุนศรีฯ กะมีบ่พอ ขุนศรีฯ เลยไปหาขุนเกิ่ง ขอคนมาซ่อยงาน สะล่ะล่ะ ? ขุนเกิ่งเอ้ย... เฮากำลังเฮ็ดเล้าไก่... เฮาขอคนของขุนเกิ่ง ไปเฮ็ดเสาเล้า แน่เด้อ ได้บ่? ? ปะสาส่ำนี้ เป็นหยังสิบ่ได้ ต้องการจักคนล่ะ? ? ขอจักสิบคน เด้อ ข้าวปลาอาหาร เฮาสิหาสู่อยู่สู่กินดอก? ขุนเกิ่ง กะจัดคนให้ไปสิบคน เพื่อเฮ็ดเสาเล้าไก่ ให้ขุนศรีฯ ขุนศรีฯ กะให้คนของเจ้าของ ขุดหลุมสำหรับเสาเล้าไก่ ไว้สิบหลุม เลิ่กเพียงหัวเข้านี่ล่ะ (เล้าไก่หยัง ใช้เสาหลายปานเฮือนเอาโลด???) จากนั้นขุนศรีฯ กะให้คนของขุนเกิ่ง ไปยืนอยู่ในหลุม ถมขาไว้บ่ให้ย่างหนี ให้แบกขื่อ แบกไม้โครงหลังคาไว้... มุงเผียกหญ้าคาเรียบร้อย เอาไม้มามัดกับคนของขุนเกิ่ง แอ้มคอกไก่เรียบร้อย.... ได้เวลาอาหาร กะหาข้าวหาน้ำมาให้กิน คนของขุนเกิ่ง ยืนขาแข็ง แอวแข็งแบกหลังคาไว้ หนักกะหนัก สิปงกะบ่ได้ สิย่างหนีกะไปบ่ได้ กะยังว้ากะยังว่า ฝ่ายขุนเกิ่ง เห็นว่าตะเว็นใกล้ค่ำแล้ว บ่เห็นคนใช้กลับมา กะเลยย่างเลาะไปเบิ่ง เห็นคนของเจ้าของ ยืนซื่อคิ่งนิ่ง เหี่ยแตกเหี่ยแตนอยู่ ..... หลังจากถามเรื่องราวแล้ว กะไปหาขุนศรีฯ ถามว่า ? เป็นหยังจั่งเฮ็ดจั่งซี้ กับคนของเฮา เขาเฮ็ดผิดอีหยัง? ? คนของขุนเกิ่ง บ่ได้เฮ็ดผิดอีหยังดอก เฮาขอคนของขุนเกิ่ง มาเอ็ดเสาเล้าไก่ แล้วขุนเกิ่ง กะเป็นคนอนุญาตเอง บ่แม่นติ? ? ไสว่าเอามาเฮ็ดเสาเล้าไก่ คือบ่ให้เฮ็ดเสาเล้าไก่ เป็นหยังเอามายืน แล้วกะฝังไว้จั่งซี้? ? กะนี่ล่ะ เสาเล้าไก่ คนของขุนเกิ่งนี่ล่ะ เป็นเสาเล้าไก่... กะยังว่า ขอมาเฮ็ดเสาเล้าไก่ เนาะฮึ...? ??? ? เอ๋า..ว่าแม่นให้มาเฮ็ดเสา ผัดเอามาเฮ็ดเสาน้อ ขุนศรีฯเอ้ย... แบบนี้ เฮาบ่ยอม เฮาขอคนของเฮาคืน? จากนั้น กะเลยม่างเล้าไก่ ขุดเอาคนของขุนเกิ่งขึ้นมา พากลับบ้าน ขุนเกิ่ง เทิงเจ็บใจ เทิงสูน อุตส่าห์ใจดี ให้คนมาซ่อยงาน บัดถืกขุนศรีฯ ล่อตั๋ว เล่นงานคนของเจ้าของ... "ฮือน้อ... ฮือน้อ... แค้นนี้ต้องชำระ... ต้องเอาคืน ต้องเอาคืน..? ว่าซั่นเด้

ตอนที่ 54 หมู่ชวนไปกินอาหารพิเศษ

หลังจากนั้นอีกดนเติบ ขุนเกิ่ง เลาได้รับการปูนบำเหน็จรางวัล จากพระราชาเด้ เลากะดีใจที่ทำดีแล้วกะได้ดี คือดีที่ทำ กะเลยชวนขุนศรีฯ ไปสังสรรค์ กินข้าวปลาอาหารอยู่เฮือน เด้ ? ขุนศรีฯเอ้ย โตนี่กะเป็นหมู่เฮาผู้นึง ที่ซ่อยงานเฮาหลายต่อหลายเทื่อ จนเฮาได้ดีจั่งซี้ เพื่อเป็นการตอบแทน มื้อแลงนี้ เฮาอยากสิขอเชิญโต ไปกินอาหารพิเศษ อยู่เฮือนเฮา ได้บ่? ขุนศรีฯคึดว่า ? เอ้อ เพิ่นนี้ กะดีอยู่น้อ ได้ดีแล้ว บ่ลืมหมู่ลืมพวก? กะเลยตอบตกลง สะล่ะล่ะ ขุนศรีฯกลับบ้านอาบน้ำแต่งโต หวีผมเป้ย ออกไปเฮือนขุนเกิ่ง เพื่อกินข้าวแลงแซบๆ .... พอไปฮอด ขุนเกิ่งกะจัดสำรับกับข้าว ไว้หลายอย่างเด้ อย่างเช่น ลาบเป็ด แกงปลาซิว ส้มไข่ปลา ของหวานกะมีบวดบักอึ๋ ว่าซั่นเถาะ ขุนศรีฯ เห็นกับข้าวแล้วกะว่า ? เอ คือว่าเป็นอาหารพิเศษ.. อั่นแบบนี้ มันบ่แม่นอาหารพิเศษเดิก มันกะแค่อาหารทั่วๆ ไป นั่นล่ะ"? ลองกินเบิ่งก่อน กินเบิ่งแล้วกะสิฮู้ ว่ามันพิเศษหม่องได๋? ขุนเกิ่งว่า ขุนศรีฯคึดว่า รสชาติอาหารอาจสิพิเศษ อาจสิแซบบักอย่างขนาด กะลองซิมเบิ่ง... มันกะธรรมดา บ่ได้แซบแบบพิสดารอีหยังเลย.... แต่ว่า จั่งได๋กะมาแล้ว สิพิเศษหรือบ่พิเศษ กะซ่าง กินให้มันอิ่มท้องดีกั่ว .... กะเลยกินสะล่ะล่ะ พอตักต่อนปลาซิวขึ้นมา กำลังสิซด เนาะ... ผัดเหลียวเห็นก้อนหินน้อยๆ ปนมากับปลาซิว กะเอามือเขี่ยออก แล้วกะกิน พอคนเบิ่งอยู่ในถ้วย มันผัดมีก้อนหิน บักอย่างหลายคัก ตักขึ้นมา กะต้องเอามาเลือกก้อนหินออก คันสิตักซดน้ำ กะต้องพยายามค่อยๆ ตัก เดี๋ยวสิได้หินขึ้นมานำ พอสิคุ้ยลาบเป็ด กะมีหินคือกัน คันสิจ้ำส้มไข่ปลา จ้ำลงไป กะมีหินติดขึ้นมา กะต้องมาเลือกเอาหินออกอีก... กินยากอย่างคัก... ขุนศรีฯ กินไปสองสามคำ คึดว่าแบบนี้ กินบ่ไหว กินบ่ได้ดอก กะเลยว่า ? แนวกินอีหยัง มีแต่ก้อนหิน กินยากปานนี้ ไผสิกินได้? ? เอ๋า... กะยังว่าอาหารพิเศษ อาหารพิเศษ... มันสิคืออาหารทั่วไปได้จั่งได๋... สิกินอาหารพิเศษนี้ได้ กะต้องค่อยๆ กิน ค่อยๆ ตัก ค่อย เลือกหินออก นั่นตั้ว? ? อาหารพิเศษแบบนี้ เฮากินบ่ได้เดิก ? ? กินบ่ได้กะต้องกิน เพราะว่าโตรับปากเฮาแล้ว ว่าสิมากินอาหารพิเศษ รับปากแล้วกะต้องกิน จั่งสิบ่เสียศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย? ขุนศรีฯ กะต้องจำใจกินอาหารพิเศษ ผสมก้อนหิน จนวะอิ่มเอาโลด... กินไปนำ สูนไปนำ เจ็บใจไปนำ นั่นล่ะว๋า อุตส่าห์ฮ่างท้องไว้กินของแซบๆ ผัดถืกหมู่ล่อตั๋ว "ฮือน้อ... ฮือน้อ... แค้นนี้ต้องชำระ... ต้องเอาคืน ต้องเอาคืน..? ว่าซ้าน...

ตอนที่ 55 ชวนหมู่ไปกินข้าว

หลังจากนั้น ต่อมาอีกดนเติบ มีช่วงนึงขุนศรีฯ มีความดีความชอบ พระราชา กะพระราชทานรางวัลให้ ขุนศรีฯ ถือเป็นโอกาสดี ที่สิได้ตอบแทนคุณหมู่ ที่เลี้ยงอาหารพิเศษ กะเลยไปชวนหมู่ ไปกินข้าวอยู่บ้านจะของเด้ ? หมู่เอ้ย เฮาดีใจหลาย ที่พระราชาพระราชทานรางวัลให้เฮา โตอยากกินข้าวกับหยัง บอกมา เฮาหาให้ ตามที่โตต้องการเลยล่ะ .. บ่ว่าสิเป็นหมู เห็ด เป็ด ไก่ ปู ปลา นา น้ำ ได้เหมิด...? ? ตักบาตร อย่าถามพระเถาะเว่ย ... อั่นนี้ กะแล้วแต่ผู้สิเลี้ยงตั้ว? ? เอ๋า บ่ได้ดอก... ปลูกเฮือนตามใจผู้อยู่ แขวนอู่ตามใจผู้นอน โตอยากกินข้าวกับหยัง บอกมาเลย กับหมู หรือว่า กับไก่? ? เอา เทิงหมู เทิงไก่ ได้บ่? ? ? ได้เลย... สำหรับหมู่ สำบายอยู่แล้ว..เหอ..เหอ? ขุนศรีฯ เว้าไปนำ ตบไหล่หมู่ไปนำ เด้ ? คันจั่งซั่น มื้อแลง พ้อกัน เฮาสิเตรียมแนวกินไว้ให้? พอขุนเกิ่งมาฮอด ขุนศรีฯ กะทำเป็นเฮ็ดงานงุกๆ งักๆ อยู่แถวเล้าหมู กับเล้าไก่ จากนั้น กะเอิ้นขุนเกิ่งมาหา บอกว่า ? เอาเลยหมู่ เฮาจัดเตรียมแนวอยู่แนวกินไว้สำหรับโต เสร็จเรียบร้อยแล้ว? ? อ้าว... มื้อนี้บ่กินเทิงเฮือนติ... ไส ไส แนวอยู่แนวกิน ที่โตว่า? ? กะนั่นเด้ ? ขุนศรีซี้ไปทางเล้าไก่ ? ข้าวนึ่งสุกเรียบร้อยกะมี ข้าวสารกะมี เข้าไปเลือกกินเอาโลด? จากนั้น กะซี้มือไปทางเล้าหมู ? แล้วกะนั่นเด้ ข้าวต้มใส่ฮำหอมๆ สำหรับที่สิกินกับหมู เลือกเอาเลย ว่าสิกินข้าวกับหมูก่อน หรือว่าสิกินกับไก่ก่อน... ตามบาย ตามบาย? แป่ว ???? งงงงงงงง ? หา??? สิให้เฮากินข้าวกับไก่ กินข้าวกับหมู แบบนี้ ไผสิกินได้.. บ่กินเดิก? ? อ้าว อ้าว โตตกลงกับเฮาแล้ว ว่าสิมากินข้าวกับไก่ กินข้าวกับหมู่ อยู่เฮือนเฮา รับปากแล้วกะต้องกิน จั่งสิบ่เสียศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย? ขุนเกิ่งกะเลยจำใจต้อง ไปกินข้าวกับไก่ แล้วกะไปกินข้าวกับหมู ถืกหมูดุด หมูหม่น จนวะเปื้อนเหมิดเอาโลด... อุตส่าห์อาบน้ำแต่งโตหล่อมา กะดาย ขุนศรีฯ กะเว้าเสียดสีว่า ? อุตส่าห์ให้เลือกแต่ทีแรกแล้วเด้ ว่าสิกินกับหมู หรือว่ากินกับไก่ โตผัดขอเอา เทิงหมูเทิงไก่... หื้อ .... เบิ่งบ่จืดเลย น้อหมู่น้อ...? 55555 (อย่าสะอยากกินข้าวกับไก่ อยากกินข้าวกับปลา... เด้อล่ะ คนฟังกะดาย) 55555 แต่ว่า ถ้ากินข้าวกับน้องไก่ กับน้องปลา กะเป็นตาอยากกินอยู่เด้ล่ะเนาะ .... คันจั่งซั่น กินกับน้องงัว กะดีคือกันเด้ล่ะบะได๋

เอ้อ แมนล่ะ อย่าลืมใส่หัวสิงไค หลายๆ เด้อล่ะ เดี๋ยวมันสิคาว...

ตอนที่ 56 แข่งสานกะต่าในน้ำ

มีอยู่ช่วงนึง เจ้าเมืองเชียง ส่งท้าวอั่นนึง (เอิ้นเลาว่าท้าวสาน ซะเนาะ) ไปเมืองทวาลี เพื่อแข่งสานกะต่าในน้ำ ว่าผู้ได๋สิสานแล้วเร็วกั่วกัน ว่าเด้ กติกา กะคือว่า ? ต้องมุดน้ำลงไป แล้วกะสานกะต่าอยู่ในน้ำ จนกว่าสิแล้วเป็นกะต่า ถ้าใจสิขาด กะสามารถโผล่ขึ้นมาหันใจได้ แล้วกะให้มุดลงไปสานต่อ จนแล้ว ผู้ได๋แล้วก่อน ผู้นั้นกะชนะ? พะนะ เว้าพื้น ท้าวสาน นี่เนาะ เลากะเป็นช่างสาน กะบุง กะต่า กะทอ ก่องข้าว ไซ ข้อง ฯลฯ เครื่องสานทั้งหลาย เลาเฮ็ดเก่งคัก เฮ็ดเร็ว แล้วกะงามพร้อมแหม... สามารถหลับตาสานได้ พุ่นล่ะไป๋.. บ่แม่นของค่อยเด้ เลากะดาย... กะย่อนเก่ง นั่นล่ะ เลากะเลยเป็นผู้ชนะ ในงานแข่งสานกะต่าในน้ำ ของเมืองเชียง ทางพระราชา เมืองทวาลี ได้รับจดหมายท้าประลองแล้ว กะเอิ้นประชุม เสนาอำมาตย์ทั้งหลาย เพื่อรับมือกับการแข่งขันเทื่อนี้ ในที่สุด กะต้องให้ขุนศรีฯ เป็นคนจัดการคือเก่านั่นล่ะ ขุนศรีฯ เลาคนขี้ตั๋วเนาะ เล่จัด เหลี่ยมคม อยู่แล้วว่าซั่นเถาะ เลากะเอากะต่า ใบที่สานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไปเซี่ยงไว้ในน้ำ เอาหินทับไว้ เด้ พอฮอดมื้อแข่งขัน ชาวเมือง พร้อมทั้งคณะกรรมการ มาซุมกันแล้ว ได้เวลาเริ่มแข่งแล้ว ท้าวสาน กับขุนศรีฯ เข้าประจำตำแหน่งของเจ้าของ ต่างคน ในมือกะกำหวาย สำหรับสานกะต่า พอได้เวลา ทั้งสองคน กะโดดลงน้ำ มุดน้ำ ลงมือสานกะต่า สะล่ะล่ะ ท้าวสาน กะพยายามสานกะต่า อย่างเร็วเด้ (ฝ่ายขุนศรีฯ กะบ่ได้สานกะต่าจ้อย โดดลงไป แล้วกะมุดน้ำ ไปหาหม่องที่เจ้าของ เอากะต่าเซียงไว้ เอาหินออกจากกะต่า แล้วกะเอาทับหวายไว้ จากนั้น กะถือกะต่า มุดน้ำกลับมา หม่องเก่า) .... อั่นนี้ เป็นความลับเด้อ อย่าบอก คนเมืองเชียงเด้อ ? บ่ทันพอคราว ขุนศรีฯ กะโผล่ขึ้นมา พร้อมทั้งกะต่าที่สานเสร็จเรียบร้อย สวยงาม มานั่งท่าท้าวสานอยู่เทิงบก เด้ ท้าวสาน สานกะต่า แล้วแล้ว กะโผล่ขึ้นมา .... บะได๋แท้ ขุนศรีฯ ขึ้นมานั่งท่า แต่ดนแล้ว ...ท้าวสานกะเลยแพ้จ้อย.. ซั่นตี้ล่ะ

ตอนที่ 57 ให้มาก่อนไก่

มีอยู่ช่วงนึง เมืองธานี มีข้าศึกจากเมืองอื่นมารบ ว่าซั่นเถาะ เมืองธานี เป็นเมืองบ่ใหญ่ รบบ่ไหว เลยขอความช่วยเหลือ มาทางเมืองทวาลี เด้ พระราชากะเลยจัดพล เตรียมกองทัพ สิออกเดินทาง ไปซ่อยเมืองธานี เนาะ พระราชากะว่า " มื้ออื่น ให้ทัพหน้าออกเดินทาง แล้วมื้อฮือ เฮาพร้อมกับทัพหลวง สิออกเดินทาง ให้ทุกคนจัดเตรียม ข้าวของสัมภาระของเจ้าของ ให้เรียบร้อย ผู้ที่สิไปกับทัพหลวงเฮา มื้อฮือ ให้ไปพ้อกันอยู่ลานหลวง เพื่อทำพิธีก่อนออกเดินทาง ขอให้ทุกคนฟ้าว มาก่อนไก่ เด้อ" จากนั้น กะเลิกประชุม พอแต่ฮอดมื้อที่ทัพหลวงออกเดินทาง พระราชาพร้อมทั้งเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย ต่างกะมาพร้อมกัน อยู่ลานหลวงแต่เซ้า ตามเวลานัดหมาย.... เหลือแต่ขุนศรีฯ ผู้เดียว กะยังว้า กะยังว่า เพราะว่าเป็นคนใกล้ชิดของพระราชานั่นล่ะ เลยสังเกตเห็นง่าย ว่าบ่เห็น (ว่าบ่ทันมา นั่นล่ะ...ฮึ ) ขุนศรีฯ เลามัวแต่เก็บของเตรียมโต หรือว่า คาแต่ล่ำลาภันละเมีย กะบ่จักนำดอก เลาเลยตื่นสวย คันสิไปโดยบ่เตรียมข้อแก้โต เดี๋ยวสิถืกลงโทษ กะเลยเข้าไปจับเอาไก่ ในเล้าโตนึงออกมา เอาปอผูกขา แล้วกะดึงย่างไปลานหลวงเด้ ทางพระราชา กะคองคอยท่า ทำพิธีเรียบร้อย ขุนศรีฯ กะยังบ่ทันซอด จนอีตาเว็นขึ้น กะเห็นขุนศรีฯ ซอดป้อล่อมา มือซ้ายถือดาบ มือขวาจูงไก่ บ่าพายห่อผ้า กะยังว้า กะยังว่า "ขุนศรีฯ นี่มันสวยแล้ว มึงเฮ็ดหยังอยู่ ฮู้บ่ว่า ผู้อื่นคอง บอกว่าให้มาก่อนไก่ ให้มาก่อนไก่ นี่จนวะตาเว็นขึ้น จั่งซอด ต้องเอาไปทำโทษ" "เดี๋ยวก่อน พะเจ้าค่า ข้าพระองค์ บ่ได้เฮ็ดผิดคำสั่ง ของพระองค์เลยเด้ กะพระองค์บอกว่า ให้มาก่อนไก่ ข้าพระองค์กะมาก่อนไก่แล้ว นั่น ไก่โตนั่น มาหลังข้าพระองค์" ????? ผัดหาทางแก้โตจนได้น้อ ขุนศรีฯกะดาย

ตอนที่ 58 ให้ล่วงหน้าไปก่อน

หลังจาก ทุกคนพร้อมแล้ว ได้ฤกษ์ดีแล้ว ทัพหลวงกะออกเดินทาง แล้วกะไปตั้งค่ายพักเซา อยู่ท่งหม่องนึงเด้ ทุกคนอาบน้ำอาบท่า กินข้าวแล้วแล้ว กะพากันมาประซุม ปรึกษาหารือกันต่อ ว่าซั่นเถาะ แล้วกะสรุปกันว่า มื้ออื่น กินข้าวงายแล้ว ..พุ้นล่ะ สวยๆ จักหน่อย จั่งสิออกเดินทางพะนะ พอสิเลิกประซุม พระราชาย่านขุนศรีฯ มาบ่ทันหมู่อีก กะเลยว่า "ขุนศรีฯ หว่างมื้อเซ้า เจ้ามาบ่ทันหมู่ มาช้ากั่วหมู่เขา แม่นบ่... คันจั่งซั่น เอาจั่งซี้ซะเนาะ... มื้ออื่น ให้เจ้า ล่วงหน้าไปก่อน เด้อ" "ได้ พะเจ้าค่า" ขุนศรีฯรับปาก พอฮอดมื้อเดินทาง ...ทุกคนกินข้าวงายแล้ว กะมารวมกันอยู่ลานนัดหมาย พระราชากะบ่เห็นขุนศรีฯ ตามที่คาดไว้ กะเข้าใจว่า "ขุนศรีฯ คือสิล่วงหน้าไปก่อนแล้ว" พอได้ฤกษ์งามยามดี กะเคลื่อนทัพ เดินทางสะล่ะล่ะ ฝ่ายขุนศรีฯน้อ เลากะตื่นสวยคือเก่า กินข้าวงายแล้ว กะฟ้าวแล่นลัดท่งไป ดักอยู่ทางหน้าพระราชาเด้ พอพระราชาเห็น กะถามว่า "อ้าว ขุนศรีฯ มาเฮ็ดหยังอยู่นี่ ว่าแม่นล่วงหน้าไปก่อนแล้ว บ่แม่นติ ?" "ข้าพระองค์ กะล่วงหน้าไปก่อนอยู่หนิเด้ พะเจ้าค่า" "ล่วงหน้าไปก่อน แนวได๋ เดียวเนียะ" "กะนี่เด้ พะเจ้าค่า..." แล้วขุนศรีฯ กะแสดงท่าย่างไปย่างมา แบบเอาหน้าโผล่ออกก่อน เอาโตตามหลัง ...ย่างเฮ็ดดากแงนๆ โตเซ่วๆ เอียงๆ ไปทางหน้า เอามือขัดไว้ทางดาก นั่นล่ะ... "นี่บ้อ ขุนศรีฯ ล่วงหน้าไปก่อนของเจ้า" "นี่ล่ะพระเจ้าค่า ล่วงหน้าไปก่อน ของแท้" "มันคนละความหมายกันเด้เดียวหนิ... ล่วงหน้าไปก่อนที่เฮาเว้าน่ะ หมายถึง ไปก่อนผู้อื่น ไปก่อนคณะของเฮา ซั่นเด้เดียวหนิ" "บ้อ ??? พะเจ้าค่า.... คันจั่งซั่น ข้าพระองค์กะสิย่างออกก่อน เป็นผู้นำขบวนเสด็จ เด้อ พะเจ้าค่า" "มันบ่แม่นจั่งซ้าน.... ฮู้ย... จักแม่นเว้ายาก เนาะเจ้ากะดาย" ขุนศรีฯกำลังสิอ้าปากเว้า "...." "หยุดเดียวนี้ เจ้าบ่ต้องเว้าต่อ...ไปออกเดินทาง" แป่ว !!!!!!

ตอนที่ 59 เมืองชวาแข่งดำน้ำทน

ยังมีเมืองใหญ่กว้าง กว้างใหญ่ใกล้ทะเล ชาวประชาฮาเฮ สุขสำบายภายพื้น ชื่อกึกก้องนาม "ชวา" กะว่าม่วน มวลหมากไม้ หลายเติบพอได้กิน อยู่ตั้วล่ะ.... กะจั่งว่าล่ะน้อ.. บ้านเมืองร่มเย็น ศิลปะ กะเจริญ เป็นเรื่องธรรมดา การจัดประกวดนั่น แข่งขันนี่ กะมีอยู่เรื่อยๆ ว่าซั่นเถาะ... เมืองชวา อยู่ใกล้ทะเล คนเมืองชวา กะเลยมุดน้ำเก่ง ดำน้ำใจเฮีย... เขากะมีการแข่งดำน้ำทน ว่าผู้ได๋สิอยู่ในน้ำได้ดนที่สุด....ในที่สุด กะได้ผู้ชนะเลิศ มีชื่อว่า "ท้าวใจเฮีย" ผู้ใจเฮียสมชื่อ เจ้าเมือง เห็นว่าเป็นโอกาสดี ที่สิได้มีสัมพันธไมตรี กับบ้านอื่นเมืองอื่น กะเลยส่งท้าวใจเฮีย ไปแข่ง "ดำน้ำทน" กับเมืองนั่นเมืองนี้...... แข่งกับเมืองได๋ กะชนะทุกเมืองเอาโลด ในที่สุด กะถึงตาเมืองทวาลี สะล่ะล่ะ พระราชา ได้รับจดหมายท้าประลองแล้ว กะเอิ้นประชุมเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย คือเก่า นั่นล่ะ... ตีฆ้องร้องป่าวหาคนใจเฮียที่สุดในเมืองทวาลี ...คนใจเฮียที่สุด กะมุดน้ำได้บ่ดน ถ้าสิส่งไปแข่งกับท้าวใจเฮีย กะต้องแพ้แน่นอน (เพราะว่าข่าววงใน ขาเจ้าเว้าค่อยๆ มาว่า.. ท้าวใจเฮียมุดน้ำได้เคิ่งมื้อ..พะนะ) เฮ็ดจั่งได๋ล่ะ ตาทีเนียะ.... กะขุนศรีฯ คือเก่านั่นล่ะ รับอาสาเป็นคนจัดการกะดาย.... พอฮอดมื้อประลอง คณะท้าวใจเฮีย พระราชา กรรมการ พร้อมทั้งชาวบ้านชาวเมือง ชุมนุมกันพร้อมแล้ว.... ท้าวใจเฮีย กับขุนศรีฯ เตรียมโต ลุกย่างไปฝั่งน้ำ แล้วกะลอยน้ำ ไปประจำตำแหน่งอยู่หลักไผหลักมัน พอได้เวลา กรรมการให้สัญญาณ ... ท้าวใจเฮีย กับ ขุนศรีฯ กะไลมือตามหลัก มุดลงไปในน้ำ ...เงียบ... อยู่ในน้ำกะเงียบอยู่ดอก แต่ว่าเทิงบก กองเชียร์กะตีกลอง ฟ้อนรำ งันกันม่วน อย่างคักล่ะว้า ผ่านไปเคิ่งมื้อ กะเห็นหัวท้าวใจเฮีย ป่อนป้อล่อขึ้นจากน้ำ แล้วกะลอยเข้าฝั่ง... พอขึ้นมาแล้ว จั่งค่อยฮู้ว่า ขุนศรีฯ ยังบ่ทันได้ขึ้นมา.... นี่กะแสดงว่า ท้าวใจเฮียแพ้ เมืองชวาแพ้ ซั่นตี้ล่ะ จากนั้น ทุกคนกะคองคอยเบิ่งว่า ขุนศรีฯ สิใจเฮียปานได๋ สิมุดน้ำได้ดนปานได๋ หรือว่าสิใจขาดตายก่อน เป็นศพฟูขึ้นมา กะบ่จัก ??? ผ่านไปหนึ่งมื้อ จั่งค่อยเห็นหัวขุนศรีฯ ป่อนป้อล่อขึ้นจากน้ำ แล้วกะลอยเข้าฝั่ง มารับรางวัล ขุนศรีฯ เป็นผู้ชนะ ขุนศรีฯ กะได้ซ่อยรักษาหน้าของเมืองทวาลี ไว้ได้อีกเทื่อหนึ่ง จั่งซี้ล่ะ.... จั่งซี้ คือจั่งได๋ ล่ะหือ ??? เอ๋า...บ่ทันได้ฮู้ติ บะได๋....คันจั่งซั่น กะตามไปเบิ่ง.... ขุนศรีฯ หลังจากรับอาสาเป็นคนจัดการแล้ว เลากะให้ขาเจ้า ไปหาเรือใหญ่เติบมาลำนึง เฮ็ดห้องน้อยๆ ใหญ่เติบ พอกินอยู่หลับนอน ได้สำบาย อุดฮูอย่างดี บ่ให้น้ำเข้าได้ ทางเทิง กะเอาลำไม้ไผ่ ทั่งป้องโล่งออกแล้ว มาต่อขึ้นเป็นท่ออากาศหายใจ ข้างท้องเรือ กะจ๋อฮูเฮ็ดประตูบานเลื่อน สำหรับลอยเข้าไป แล้วอยู่ทางใน กะมีอีกประตูนึง เผื่อว่า น้ำไหลเข้ามา ตอนเปิดประตูแรก สิได้บ่เปียกเตียงนอน นั่นหนา เฮ็ดเป็นสองชั้น ว่าซั่นเถาะ .... จากนั้น กะเอาแนวอยู่แนวกิน เทียน ไฟ เตียงนอน หมอน ผ้าห่ม ฯลฯ เข้าไปไว้ในห้องใต้ท้องเรือ เสร็จเรียบร้อยแล้ว กะลากเรือไปไว้ในแม่น้ำ ไกลจากหม่องสิประลอง จักหน่อย เรือกะจมน้ำ พ้นขึ้นมา แค่ปลายไม้ไผ่ท่อหายใจนั่นล่ะ ?. จากนั้น กะเอาเชือกผูกประตูบานเลื่อน โยงไปหาหลักสำหรับแข่งขัน... การเตรียมการ เป็นอันเสร็จเรียบร้อย... ( อั่นนี้ เป็นความลับเด้อ อย่าสะไปบอกคนเมืองชวาเด้อล่ะ) พอฮอดมื้อประลอง คณะท้าวใจเฮีย พระราชา กรรมการ พร้อมทั้งชาวบ้านชาวเมือง ชุมนุมกันพร้อมแล้ว.... ท้าวใจเฮีย กับขุนศรีฯ เตรียมโต ลุกย่างไปฝั่งน้ำ แล้วกะลอยน้ำ ไปประจำตำแหน่ง อยู่หลักไผหลักมัน พอได้เวลา กรรมการให้สัญญาณ ท้าวใจเฮียกับขุนศรีฯ กะไลมือตามหลัก มุดลงไปในน้ำ ท้าวใจเฮีย กะจับหลักกลั้นหายใจไว้ อยู่หม่องหนั่นล่ะ ส่วนขุนศรีฯ กะเอามือไลไปนำเชือก มุดไป จนฮอดประตูบานเลือน เปิดประตูออก... แล้วกะเข้าไปอยู่ กิน นอนเล่น อยู่ในห้องใต้ท้องเรือ เสย พอกำหนดเวลา พอประมาณว่า หนึ่งมื้อ แล้ว ขุนศรีฯ กะออกมาทางเก่า แล้วกะมุดน้ำ ตามเชือกมาจนฮอดหลัก แล้วกะจั่งค่อยโผล่ขึ้นจากน้ำ...... ขุนศรีฯ กะซ่อยรักษาหน้าให้เมืองทวาลี ไว้จั่งซี้ล่ะ ?.

ตอนที่ 60 ซ่อยแม่ครัวเซ็ดก้น

ช่วงนึง พระราชาพร้อมทั้งเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย พากันนั่งเรือลำบักใหญ่ ไปเที่ยวตามลำน้ำ ตางว่าไปเบิ่งทุกข์สุข ของชาวเมืองนำนั่นล่ะ เบิ่งสองฝั่งน้ำไปนำ คุยนัวหัวม่วนไปนำ ต่อกลอน ต่อผญากันไปนำ พอฮอดเวลากินข้าว กะกินเทิงเรือนั่นล่ะ เพราะว่ามีสนม มีแม่ครัวมานำอยู่ ว่าซั่นเถาะน้อ... นั่งเรือไปตั้งวะไกลเติบ จนวะตะเว็นบ่ายคล้อยแล้วเด้ พอดี กะไปฮอดเลาะบ้าน ของนางกำนัลผู้นึง นางกำนัลผู้นั้น กะเลยขออนุญาตพระราชา แวะเยี่ยมยามพ่อแม่พี่น้อง แล้วกะขอลางานจักสี่ห้ามื้อนำเด้ พระราชากะอนุญาตตามที่ขอ นั่นล่ะ... จากนั้น กะอ่วยเรือกลับเมืองทวาลี สะล่ะล่ะ พอฮอดเคิ่งทาง พระราชาเพิ่นปวดถ่าย กะเลยเข้าห้องส้วมเทิงเรือ น้อ... หลังจากเสร็จธุระเรียบร้อยแล้ว กะเอิ้นหาพนักงานล้างดาก ซั่นแหล่ว... พอดี พนักงานล้างดากพระราชา กะคือนางกำนัลที่ขอลาไปยามบ้าน นั่นล่ะ ...แล้วกะ พอดี แม่ครัว ย่างไปเลาะนั้น ได้ยินพระราชาเอิ้นว่า นางกำนัลผู้ได๋อยู่ทางนอก ให้เข้ามา ..พอเข้าไป กะเลยได้ล้างดากให้พระราชา จนเกลี้ยงหล่อนดีเรียบร้อย ด้วยความภูมิอกภูมิใจ ที่ได้บายดากพระราชา ... พอเรือกลับฮอดเมืองทวาลี... พระราชาคึดได้ว่า คนผู้ที่ล้างดากให้มื้อนี้ กะคือแม่ครัว ผู้ที่เฮ็ดอาหารสู่เจ้าของกิน คึดได้จั่งซั่น กะเกิดขี้เดียดขึ้นมา ซั่นตี้ บาดตาทีเนียะ "ฮื๋ยยยย... ขนาดเฮายังบ่กล้าเอามือล้างขี้เจ้าของ... แม่ครัวเลาเอามือมาล้างดากเฮา มือแม่ครัวกะติดขี้... แล้ว...แล้ว...คันแม่ครัวเอามื้อนั่น มาคั้นยานาง คั้นส้มผัก คั้นกะทิ หรือว่า จับบายแนวอยู่แนวกิน.... อัวะ..เป็นตาขี้เดียด... คันเป็นจั่งซี้ เฮาบ่กล้ากินเดิก" พอพระราชาคิดจั่งซี้แล้ว กะเลยเอิ้นแม่ครัวมาหา แล้วกะ ปลดออกจากตำแหน่งแม่ครัว ให้ไปเป็นคนกวาดเฮือนถูเฮือนแทน (อุตส่าห์ภูมิใจน้อแม่ครัวน้อ..ถืกปลดจ้อย) แม่ครัว เลากะเสียใจเด้ เฮ็ดงานแม่ครัว สำบายอยู่ดีๆ ถืกให้มาเฮ็ดงานต่ำต้อยกว่าเก่า ให้มาเป็นแค่คนถูเฮือน... คิดมา อุราช้ำหนัก ...สะล่ะล่ะ.. เลาบ่ฮู้สิเฮ็ดจั่งได๋ดี กะเลยลองไปขอความซ่อยเหลือ จากขุนศรีฯ เผื่อเลาสิซ่อยได้ อ้อนแล้ว อ้อนอีก... ในที่สุด ขุนศรีฯ กะยอมซ่อยเหลือ... หลังจากวางแผนกันเรียบร้อยแล้ว มื้อนึง ขุนศรีฯ กำลังปรักษาข้อราชการ กับพระราชาอยู่สองต่อสอง นางกำนัลแม่ครัวเก่า กะเอาผ้า มาคลานก้มถูเฮือน ย่อกๆ ถูไป ถูมา อยู่แถวนั่นล่ะ พอขุนศรีฯเห็น กะเว้าให้พระราชาได้ยินว่า "เอ้อ อี่นางนี้ ก้นดี ดากดี" แล้วกะ แล่นเข้าไป ทำทรงสิหอม สิดม แล้วกะนบมือขึ้นกราบไหว้ดาก ของนางกำนัลผู้นั่น อีกต่างหาก ทางปากกะว่า "สาธุ ดากเจ้านี้ เป็นดากดี เป็นดากมีมงคล เป็นดากนำโชค เป็นดากนำความเจริญ สาธุ สาธุ" ไล่คุมไหว้ดากนางกำนัลผู้นั่น ว่าซั่นเถาะ... พระราชาเห็นกะแปลกใจอย่างคัก คนอีหยัง ไปหาไหว้ดากผู้อื่น ไหว้ดากพระ หรือว่าไหว้ดากพระราชา กะบ่ว่าหยังหยามดอก... นี่ไปไหว้ดากคนถูเฮือน ??? กะเลยถามว่า "ขุนศรีฯ เป็นหยังจั่งค่อยไปหาไหว้ดากคนถูเฮือน แทนที่สิไหว้ดากเฮา" "กะดากคนถูเฮือน เป็นดากนำโชค เป็นดากนำความเจริญ... แต่ว่าดากของพระองค์ เป็นดากอับโชค เป็นดากนำความต่ำต้อย" "เว้าจั่งซี้ หมายความว่าจั่งได๋" "พระองค์จำได้บ่ พะเจ้าค่า นางกำนัลผู้นี้ หน้าที่เก่า คืออีหยัง" "จำได้ เฮาเป็นคน ปลดออกจากตำแหน่งแม่ครัว ให้มาถูเฮือนเอง เป็นหยังสิจำบ่ได้" "นั่นล่ะ พระเจ้าค่า.... นางกำนัลผู้นี้ ต้องขี้ ต้องเยี่ยว ซุมื้อ ล้างดาก เจ้าของซุมื้อ ย่อนล้างดาก บายดากเจ้าของ ได้เป็นถึงตำแหน่งแม่ครัวของพระราชา ดากของเลา สิบ่ให้ว่าดากนำความเจริญ ได้จั่งได๋... แต่พอมาบายดาก ล้างดาก ของพระราชา แค่เทื่อเดียว ท่อนั่นล่ะ ความอับโชค ความต่ำต้อยกะเข้ามา จนถืกปลดจากตำแหน่งแม่ครัวหลวง ไปเป็นแค่คนถูเฮือน ดากของพระองค์ สิบ่ให้ว่าเป็นดากนำความต่ำต้อย ได้จั่งได๋ พระเจ้าค่า" พระราชา ได้ฟังคำอธิบายของขุนศรีฯ กะคึดได้ ?. "เอ้อ.. กะแม่นคือขุนศรีฯว่าเด้ล่ะเนาะ ดากของนางกำนัล อาจสิบ่สะอาดดี ท่อดากเฮาจ้อย เลาล้างดากเจ้าของซุมื้อ มาเฮ็ดอาหารให้เฮากิน จนดนปานนี้ เฮายังกินได้ บ่ขี้เดียด... ดากเฮา สะอาดก่อของนางกำนัลอีก เฮาสิขี้เดียดเฮ็ดหยัง.. คนเฮา ล้างดากแล้ว กะล้างมือให้สะอาดได้....... แม่นล่ะ เฮาสิคืนตำแหน่งให้นางกำนัลผู้นี้" จากนั้น พระราชา กะเอิ้นนางกำนัลผู้นั่นมา แล้วกะคืนตำแหน่งแม่ครัว ให้เลา เป็นแม่ครัวคือเก่า สะล่ะล่ะ.

โดย : พลพล คนชัยภูมิ Mail to พลพล คนชัยภูมิ

(199.63.1.252)

เมื่อ : 22/02/2007 12:57 PM

ความคิด เห็นที่: 9

ตอนที่ 61 ลูกสาวงาม

ขุนศรีฯ หลังจากแต่งงาน อยู่กินกับลูกสาวเศรษฐี ดนเติบ กะได้ลูกผู้นึงเด้ เป็นลูกสาวตั้วล่ะ เมียกะใช้เงินเก่ง หาเงินมาให้ใช้หลายปานได๋กะบ่พอ ซ้ำบ่หนำ ยังมีลูกมาซ่อยใช้เงินอีกต่างหาก โฮ้ย... หาเลี้ยงบ่ ไหวเดิก ...ขุนศรีฯ กะเลยหาวิธี สิให้ผู้อื่นซ่อยเอาลูกเจ้าของไปเลี้ยง ว่าซั่นเถาะ (คึดไปทั่วเนาะ ขุนศรีฯ กะดาย) ขุนศรีฯ ให้คนใช้ไปโปข่าว (ไปเว้า ไปลือ ไปซา นั่นล่ะ) ว่า ลูกสาวขุนศรีฯ งามหลาย เป็นตาฮักคัก มารยาทเรียบร้อย เชียมดี้ดี ลูกสาวขุนศรีฯ กะเลย ได้เป็น "สาวซา สาวลือ" ตี้ล่ะ ข่าวความงามความเป็นตาฮัก ของลูกสาวขุนศรีฯ กะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว จนไปเข้าหูของเศรษฐีผู้นึง เด้ เศรษฐีผู้นั่นมี ลูกชายผู้นึง พวมเป็นบ่าว... เลากะอยากได้ลูกสาวของขุนศรีฯ มาเป็นสะใภ้ เด้ เผื่อสิได้ก้าวหน้าทางราชการ นำนั่นล่ะ ...ลูกสาวคนดัง(แหมบ ??? ) คนสนิทของพระราชาเนาะ... เศรษฐีผู้นั่น พร้อมทั้งอำมาตย์ใหญ่ กะเลยไปสู่ขอลูกสาวขุนศรีฯ มาเป็นลูกสะใภ้ ไปขอเบิ่งโต เบิ่งหน้าลูกสาวขุนศรีฯ นำล่ะหวา.... ขุนศรีฯกะว่า "คันเจ้าอยากได้ไปเป็นสะใภ้ ข้อยกะบ่ว่าหยังดอก แต่ว่า ตอนนี้ ลูกสาวข้อย มันยังน้อยอยู่ ยังบ่ปะสีปะสาเลย เจ้าพาไปอยู่นำ กะเป็นภาระของเจ้าซื่อๆ" เศรษฐี เข้าใจว่า "คำว่า มันยังน้อย ยังบ่ปะสีปะสา เป็นคำถ่อมโตของขุนศรีฯ คึดว่า ผู้ญิงอายุสิบห้า สิบหก กะเป็นธรรมดานั่นล่ะ" กะเลยว่า "บ่เป็นหยัง บ่เป็นหยัง ลูกของเจ้า กะคือลูกของข้อย ข้อยเอาเป็นสะใภ้แล้ว กะต้องเบิ่งแยง เป็นธรรมดา" "คันเจ้าว่าจั่งซั่น ข้อยกะยกให้ตามที่เจ้าขอนั่นล่ะ" จากนั้น กะว่า ? พอดีมื้อนี้ ลูกสาวบ่อยู่ ไปข้างนอกกับแม่.. เอาเป็นว่า จั่งค่อยพ้อหน้ากัน มื้อแต่งงานกะได้น้อ? ... พร้อมทั้งฮ้องค่าสินสอดอย่างแพงเติบ เศรษฐี กะตกลงตามนั่น แล้วกะกำหนดมื้อ กำหนดเว็นกันเรียบร้อย โดยมีอำมาตย์ใหญ่ เป็นพยาน เด้ พอฮอดมื้องานกินดอง ทางเศรษฐี กะยกขบวนขันหมาก พร้อมทั้งสินสอด มาบ้านขุนศรีฯ ทางเศรษฐี กับลูกชาย (แขกผู้มาในงานนำนั่นล่ะ) กะพยายามเหลียวหาเจ้าสาว..เด้ หลังจากนับสินสอดเรียบร้อย ได้ฤกษ์ผูกแขนเจ้าบ่าวเจ้าสาว เจ้าบ่าว กะมานั่งคองท่าเรียบร้อยแล้ว ผัดบ่เห็นเจ้าสาวออกมา เศรษฐีกะเลยถามหาเจ้าสาว ขุนศรีฯ กะเลยฮ้องบอกพี่เลี้ยงว่า "พาลูกสาวเฮามา ได้แล้ว" กะได้ยินเสียงพี่เลี้ยงฮ้องออกมาว่า "หลับอยู่ ยังบ่ทันตื่น" ??? เอ๋า... สังมาว่าจั่งซั่น... เป็นสาวเป็นนาง จั่งได๋คือมาตื่นสวย คักแท้ ??? เศรษฐี กะสงสัยเด้ กะเลยว่า " หลับกะ ไปปลุกตี้ล่ะ " ขุนศรีฯ กะเลยว่า " บ่ต้องปลุกดอก พามาทั้งหลับๆ นั่นล่ะ แฮ่งดี " ??? เอ๋า .... คือว่าจั่งซี้น้อ ??? จากนั้นเศรษฐี กะเห็นพี่เลี้ยงยกอู่ออกมา วางไว้ต่อหน้า พอโงกหัวไปเบิ่ง กะเห็น เด็กน้อยอายุประมาณ หก เจ็ดเดือน ผู้นึง นอนหลับอยู่ "สิมาแต่งงานกับลูกสาวเจ้าเด้เดียวเนี่ยะ บ่แม่นมาเบิ่งเด็กน้อย เด้" "กะนี่ล่ะ ลูกสาวข้อย ข้อยมีลูกสาวที่ฮักปานแตง แพงปานตา อยู่ผู้เดียว ท่อนี้ล่ะ" "นี่บ้อลูกสาว ที่เจ้ายกให้เป็นสะใภ้ข้อย" " เอ้อ กะนี่ล่ะ กะบอกแล้วเด้ ว่า ลูกสาวข้อยมันยังน้อยอยู่ ยังบ่ปะสีปะสาเลย เจ้ากะยังอยากได้ ขอแล้ว กะต้องเอาไปเด้" ในที่สุด เศรษฐี กะต้องรับเอาลูกสาวขุนศรีฯ พากลับบ้าน ไปเลี้ยง ... เสียค่าสินสอดแพงๆ แถมต้องมานั่งเลี้ยงเด็กน้อยอีกต่างหาก ... ซัวว่าสิใหญ่ เด้เดียวเนี่ย.....เสียเวลาแท้ๆ

ตอนที่ 62 ประกวดผ้าวิเศษ

ยังมีเมืองกว้างใหญ่ อยู่ไกลปานฟ้า ชื่อว่า " สีดา " นั่น นามเมืองตั้งใหม่ ผู้ข้าฯขานชื่อไว้ เป็นคำเว้าถิ่นอีสาน ซื่อ ๆ ดอก... เมืองสีดา กะเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง พอสมควรเด้ อีหลีแล้ว ความเจริญทางวัตถุ กะเจริญกั่วเมืองทวาลี พุ่นล่ะไป๋... มีอยู่ช่วงนึง ชาวเมืองสีดา มาค้าขาย โฆษณาสินค้าไปนำ เล่นกลไปนำเด้ ชาวเมืองสีดาผู้นึง (เอิ้นเลาว่า ท้าวสีดา ซะเนาะ) เลาเล่นกล เก่งตั้วล่ะ คนกะไปเบิ่งเลาหลายคัก ได้ยินข่าว กะแห่แหน ไปเบิ่ง "ไปเบิ่งท้าวสีดาเล่นกล ไปเบิ่งท้าวสีดาเล่นกล" พะนะคนเขาซาเขาลือกัน กลที่ ชาวเมืองทวาลี สะออนหลายกะคือ "ผ้าวิเศษควันทุ่ย" จนชาวเมืองพากันงึด ว่า ชาวเมืองสีดาเก่งคัก สามารถทอผ้าควันทุ่ยได้ บ่มีไผฮู้ว่า ผ้ามีควันผืนนั่น เป็นแค่การเล่นกล ชาวเมืองพากันเข้าใจว่า เป็นผ้าวิเศษอีหลี ว่าซั่นเถาะ... พระราชาได้ยินข่าว กะคึดย่านชาวบ้านชาวเมือง เสื่อมศรัทธาต่อเมืองทวาลี ไปเลื่อมใสเมืองสีดา กะเลยต้องหาวิธีตัดความเชื่อนี้ให้ได้ ... หลังจากปรึกษากับเสนาอำมาตย์ทั้งหลายแล้ว (ขุนศรีฯนำล่ะหวา) ในที่ประชุมกะตกลงกันว่า ควรสิมีการจัดประกวดผ้าวิเศษ ระหว่างเมืองสีดา กับเมืองทวาลีขึ้น โดยขุนศรีฯ กะรับอาสา เป็นคนหาผ้าวิเศษของเมืองทวาลี เด้ ผ้าวิเศษเมืองสีดา กะฮู้กันอยู่แล้วว่า เป็นผ้าควันทุ่ย ส่วนผ้าวิเศษของขุนศรีฯ สิเป็นแบบได๋น้อนอ... จั่งค่อยสิชนะใจของชาวเมืองได้.. พอฮอดมื้อประกวดแข่งขัน ชาวบ้านชาวเมือง กะมาชุมนุมกันหลายอย่างคักเด้ ท้าวสีดาถือกล่องไม้ ย่างขึ้นเวทีสูงๆ ทำเป็นตบมือนั่น ตบมือนี้ เคาะหม่องหนั่นหม่องหนี่ แล้วกะเอามือ จกลงไปในกล่องไม้ ได้ผ้าผืนนึงขึ้นมา แล้วกะมีหมอกควัน ลอยออกจากผ้าผืนนั่น ทุ่ยๆ เป็นตาสะออนของเลาอยู่เด้ล่ะ ชาวเมือง กะพากันฮ้องย่องแซวๆ ตบไม้ตบมือให้ แตกซวดๆ แตกโคบๆ มาถึงตาขุนศรีฯ ติล่ะ... ขุนศรีฯ พายย่ามใบนึง ย่างขึ้นไปเทิงเวที แล้วกะเว้าว่า "ต่อไปนี้ ท่านสิได้พ้อ ได้เบิ่ง ได้เห็น ของที่บ่เคยเห็น นั่นคือ ผ้าวิเศษ ที่วิเศษที่สุด เป็นผลงาน ของช่างทอชาวเมืองทวาลี ของเฮานี่เอง ขอบอกไว้ก่อนว่า ผ้าผืนนี้ เฮ็ดจากไหม ใสละเอียดบางเบา นุ่ม ห่มเย็นสบาย" ชาวเมืองเริ่มเฮ็ดตาตื่นตะลึง.. "แม่นอีหลีบ้อ ???" จากนั้นขุนศรีฯกะเว้าต่อ "เอาล่ะ ผ้าที่ว่านี้ สิวิเศษจั่งได๋ ขอเชิญส่งสายตา มาเบิ่งแยงกัน ให้แจ่มแจ้งได้เลย" เว้าแล้ว ขุนศรีฯ กะทำทรงเอามือจกถงย่าม ทำเป็นหยิบผ้าขึ้นมา แล้วกะเอามือสองข้าง ทำเป็นถือ แล้วกะขึงผ้าออก คนทั้งหลาย เหลียวเบิ่งจั่งได๋ กะบ่เห็นผ้า ??????"ไส ไส ผ้าวิเศษเจ้าอยู่ไส"?????? " ผ้าวิเศษผืนนี้ กะบอกแล้วว่า ทอจากไหมที่ ใส ละเอียด บาง เบา จนเบิ่งด้วยตาธรรมดาๆ อาจสิบ่เห็น .... นี่ละคือความวิเศษของผ้าผืนนี้ ผ้าของท้าวสีดา แค่มีควันออกมา แต่ว่าผ้าของผู้ข้าฯ เนื้อละเอียดใส จนเหลียวบ่เห็น เป็นผ้าล่องหน ถือได้ว่าวิเศษอีหลี น้อพี่น้องน้อ" ชาวเมือง ตะลึง พากันสะออน พากันงึดหลาย พากันฮ้อง ย่องยอเสียงดัง ตบมือแตกซวดๆ ดังกั่ว ดังดนกั่ว ตอนตบมือให้ท้าวสีดาอีก กะยังว้ากะยังว่า เป็นอันว่า ขุนศรีฯ กะสามารถดึงศรัทธา ของชาวเมืองกลับมา ได้อีหลี ชาวเมืองกะดายเนาะ ขุนศรีฯเลาบ่มีผ้าเดิก ทำทรงเอามือจับซื่อๆ ผ้าบ่มี สิไปเหลียวเห็นหยัง นอกจากอากาศ... ถืกสีดาต้มยังบ่พอ ยังมาถืกขุนศรีฯต้มอีก...

ตอนที่ 63 ขอลูกสาวเสี่ยวมาเฮ็ดลูก

ล่ะว่า โอน้อ... วันเดือนปี ผ่านพ้น คนเฮา กะเฒ่าแก่ จากเด็ก เป็นหนุ่มน้อย ใหญ่ขึ้นตามวัย นั่นเด้อ... ขุนศรีฯไท้ เนาเฮือนมาดนเติบ ภันละเมียกะมีแล้ว คนนึงนั่นที่แต่งงาน กันน้อ.... มีเมียเดียวนอนซ้อน ซอนดนเลาเกิดเบื่อ คึดอยากมีสองซ้อน ซอนหม่นดอมกัน อีกจักคนเด้ พะนะ.... ขุนศรีฯ เลาคึดมักสาวส่ำน้อยผู้นึง สาวนางนั่น กะบ่แม่นผู้อื่นผู้ไกล เป็นลูกสาวเสี่ยวเลานั่นล่ะ ยามเลาไปหาเสี่ยว กะสิ่งตาน้อย เบิ่งลูกสาวเสี่ยวอยู่เรื่อยๆ เด้... ในที่สุด ความฮักมาแล่นกุ้ม คือกะสุ่มงุมหัว ความฮักมาพอๆ คือกะทองุมไว้...ใจประสงค์สร้าง กลางดง กะว่าท่ง ใจประสงค์ลูกเสี่ยวแล้ว จั่งได๋แท้ ต้องหม่นหา มาให้ได้ แท้แหล่ว ...ขุนศรีฯ ตัดสินใจ ไปบ้านเสี่ยว เพื่อขอลูกสาวเสี่ยว เด้ "เสี่ยวเอ้ย... แต่ผัดเฮายกลูกสาวน้อยเฮา ให้ไปอยู่บ้านเศรษฐี เฮาคึดอยากได้ลูกอีก พยายายามแล้ว พยายามอีก กะบ่มีลูกจักเทื่อ ตอนนี้อายุเฮากะเริ่มเฒ่าขึ้นเรื่อยๆ กะบ่ฮู้ว่า สิมีลูกนำเขาบ่ เฮามีเรื่องอยากขอร้องเสียวอยู่เรื่องนึง ได้บ่" "ว่ามาตี้ล่ะ คันเฮาซ่อยได้ กะสิซ่อย" "คือจั่งซี้ เฮาอยู่สองคนกับเมีย ฮู้สึกเหงา เฮาอยากมีลูก เฮาอยากขอลูกสาวเสี่ยว ไปเฮ็ดลูก จักคน สิได้บ่" เสี่ยวเข้าใจว่า ขุนศรีฯ ขอลูกสาวเจ้าของ ไปเป็นลูกบุญธรรม กะเลยว่า "โอ... ปะสาเรื่องส่ำนี้ ลูกเฮามีอยู่หลายคน โตอยากได้ผู้ได๋ล่ะ" "เอาผู้นั่น เด้อ" ขุนศรีฯ ซี้มือไปทางลูกสาวเสี่ยว ผู้ที่เจ้าของหลงมัก จากนั้น เสี่ยว กะเอิ้นลูกสาวมา สั่งความว่า "นางเอ้ย... ขุนศรีฯ เสี่ยวของพ่อ เพิ่นบ่มีลูก เพิ่นอยากได้ลูก ไปเฮ็ดลูก พ่อได้ยกให้แล้ว ให้ลูกไปอยู่นำเพิ่นเด้อ อยู่บ้านเพิ่นดีๆ เด้อ" ขุนศรีฯ กะเลยพาลูกสาวเสี่ยวกลับเฮือน มาเป็นภันละเมีย สมใจบักพร้าวห้าว ซั่นแหล่ว .... หลังจากนั้น ดนเติบ อีนางนั่น กะตั้งท้อง ซั่นตี้ล่ะ เสี่ยวขุนศรีฯ มาเยี่ยมมายามลูก เห็นลูกท้องโย้ออกมา กะถามว่า ไปนอนกับผู้ได๋มา จั่งค่อยมีลูกก่อนแต่ง มักไผ อยากแต่งกับไผ เป็นหยังบ่บอกพ่อแหน่ ลูกสาวกะตอบว่า กะเป็นเมียของขุนศรีฯ นั่นแหล่ว กะพ่อยกลูกให้ขุนศรีฯแล้ว บ่แม่นตี้ ??? ???? เสี่ยว งง ไปเลย ???? จากนั้น กะไปคุยกับขุนศรีฯ ถามไถ่เอาความจริง "ไส โตว่า ขอลูกสาวเฮาไป เฮ็ดลูก เป็นหยังจั่งค่อยเอาลูกสาวเฮามา เฮ็ดเมีย บ่รักษาคำเว้านี่หว่า" ขุนศรีฯกะว่า "กะเฮาขอลูกสาวโตมา เฮ็ดลูก ตอนนี้เฮากะ เฮ็ดลูก กับลูกสาวโต ได้สมใจแล้ว" "หา ??? โต กับลูกสาวเฮาซ่อยกันเฮ็ดลูก.... หมายถึงว่า โตเอาลูกสาวเฮามาเป็นเมีย เพื่อที่สิมีลูก วะติ ?" "เอ้อ... แม่นแล้วหมู่เอ๋ย...โตเข้าใจถืกต้องแล้ว.... คนจั่งขุนศรีฯ รักษาคำเว้าเสมอ บ่ตั๋วดอก" แป่ว ??? เสี่ยวขุนศรีฯ กะเสียทีขุนศรีฯ ได้เป็นพ่อเฒ่าของขุนศรีฯ โดยบ่ได้ตั้งใจ เสียลูกสาวไปฟรีๆ โดยบ่ได้จัดงานแต่งงาน บ่ได้ค่าสินสอด จ้อยแหม....

ตอนที่ 64 หล๋อยเป็นเจ้าเมือง

มีอยู่ช่วงนึง ขุนศรีฯ กับหมู่พวกเพื่อนฝูง กินดื่มสรวลเสเฮฮา เว้านัวหัวม่วนกัน ว่าซั่นเถาะ กะมีการคุยกันถึงเรื่องที่ว่า ขุนศรีฯเป็นคนหัวดี ไหวดี นำเด้ ขุนศรีฯ พอถืกหมู่พวกเว้าถึงเจ้าของ ย่องเจ้าของ กะได้ใจ แฮ่งคุยต่อเด้ เลากะดาย "เว้าพื้นปัญญาเฮานี่เนาะ กะพอได้อยู่ได้กินอยู่ดอก บ่แม่นคุยดอกเด้อหมู่เอ๋ย... คันแม่นเฮาอยากได้ อยากเฮ็ด อีหยัง มันต้องสำเร็จ เฮาขอบอก ทุกอย่างมีทางออก คันพยายาม แล้วกะใช้หัวจักหน่อย ต้องสำเร็จแน่นอน บ่ได้ด้วยเล่ห์ กะต้องเอาด้วยกล ล่ะหวา" "ปานนั้นบ้อ ขุนศรีฯ คันจั่งซั่น ลองใช้ปัญญา ไปเป็นเจ้าเมืองให้เบิ่งกะดู้ คันเก่งอีหลี กะดาย" หมู่เลาท้า "สำบายมากเลยหมู่เอ๋ย... แค่เป็นเจ้าเมืองซื่อๆ สิเป็นให้เบิ่งดอก" มื้อต่อมา ขุนศรีฯ หลังจากเข้าเฝ้าพระราชาแล้ว ช่วงเวลาว่างกะเอาพู่กัน เขียนผ้า เป็นโตหนังสือขอม เขียนมะง่อก มะแง่ก ทำเป็นเขียนบ่เป็นนั่นล่ะ เขียนผืนนั่น แล้วกะเขียนผืนนี่ เขียนแล้วกะญองทิ้ม เอากองไว้ใต้โต๊ะเด้ ทางปากกะจ่มว่า "ฮื้อน้อ สังมาเขียนยากคักแท้น้อ ภาษาอั่นนี้กะดาย" พอดี้ พระราชาย่างผ่านมา เห็น กะเลยเข้าไปถามว่า "เฮ็ดหยังอยู่น้อขุนศรีฯ ทำทรงหงุดหงิดแท้" "กำลังหัดเขียนโตขอมพะเจ้าค่า ข้าพะองค์กะว่าเจ้าของเรียนเก่งอยู่น้า แต่พอเรียนเขียนโตขอม คือเขียนยากคักแท้ โดยเฉพาะคำนี้ แมะ พะเจ้าค่า เขียนยากคัก" "ไส คำได๋ ? " "นี่ นี่ พะเจ้าค่า ข้าพระองค์ เขียนถืกบ่ ?" เว้าแล้วกะ เอาผ้าที่เจ้าของเขียน เด่ให้พระราชาเบิ่ง พระราชาเบิ่งแล้วกะว่า "โฮ้ย.. ขุนศรีฯเอ้ย โตหนังสือกะขี้ร้าย อ่านยากคัก แม่นเจ้าต้องการสิเขียน ว่าจั่งได๋เกาะ" "สิเขียนชื่อของข้าพระองค์นี่ล่ะ แล้วกะคำว่าเจ้าเมืองของโง้ง (ชื่อเมืองเด้อ) แมะ พะเจ้าค่า... ศรีธนญชัย เจ้าเมืองของโง้ง เขียนให้เบิ่งแหน่ พะเจ้าค่า" "โฮย..มันสิยากหยัง...ไส เอาผ้า กับพู่กันมา" ขุนศรีฯกะเด่ผ้ากับพู่กันให้ จากนั้น พระราชากะลงมือบรรจงเขียน อย่างสวยงาม เด้ ขุนศรีกะสอดคอส่องทำทรงสนใจเด้ ...พอพระราชาเขียนแล้วแล้ว ...ขุนศรีฯกะเว้าว่า "อือ อือ โอ โอ... เขียนจั่งซี้ตั้วหนิ โตหนังสือพระองค์งามดีเนาะ พะเจ้าค่า... แล้ว ชื่อของพระองค์ล่ะ พะเจ้าค่า เขียนจั่งได๋ เขียนให้เบิ่งแหน่... เขียนใส่แผ่นเดียวกันนี่ล่ะ" พระราชา กะเลยเขียนให้เบิ่ง เด้...ในผ้าผืนนั้นกะมีข้อความว่า

ศรีธนญชัย

เจ้าเมืองของโง้ง

พระเจ้าทวาละ

ขุนศรีฯ กะเอาผ้าผืนนั่นมา บอกว่า สิเอาไปเป็นโตอย่าง ฝึกหัดเขียน พะนะ.... จากนั้น กะเอาผ้าผืนนั้น ไปให้เจ้าหน้าที่แต่งตั้งเจ้าเมืองเด้... ให้ขาเจ้าแต่งตั้งเจ้าของเป็นเจ้าเมืองของโง้ง นั่นล่ะ... เจ้าหน้าที่เห็นว่าเป็นลายมือพระราชา เข้าใจว่าเป็นคำสั่งจากพระราชา กะเลยแต่งตั้งให้ตามนั้น จากนั้นขุนศรีฯ กะถือใบแต่งตั้ง เดินทางไปเมืองของโง้ง ขึ้นนั่งเป็นเจ้าเมือง เสยนั่นแหล่ว ช่วงนั้น พระราชาบ่เห็นขุนศรีฯเข้าเฝ้า กะเลยถามหา กะได้คำตอบว่า "ขุนศรีฯ ตอนนี้ เป็นพระศรีธนญชัย เจ้าเมืองของโง้ง ครองเมืองของโง้ง" พะนะ กะสงสัยว่า ผู้ได๋ให้ขุนศรีฯ ไปเป็นเจ้าเมือง ตั้งแต่เหิง ? กะได้คำตอบว่า เป็นคำสั่งของเจ้าของเอง... กะเลยให้คนไปตามขุนศรีฯ มาเข้าเฝ้า พอขุนศรีฯมาฮอด สอบสวนถามไถ่แล้ว จั่งค่อยฮู้ว่า ญ่อนผ้าผืนนั้นนั่นเอง ผ้าผืนที่พระราชา เขียนโตขอม ให้ขุนศรีฯเบิ่งนั่นล่ะ...พระราชาฮู้เรื่องแล้ว กะให้ขุนศรีฯกลับมาเป็น ขุนศรีฯคือเก่า ขุนศรีฯ ถึงสิเป็นเจ้าเมืองได้บ่ดน แต่กะสามารถเป็นเจ้าเมืองได้ อีหลี ตามที่รับปากไว้กับหมู่พวก สะล่ะล่ะ ...

ตอนที่ 65 หม้อวิเศษร้องเพลง

มีแม่ใหญ่อั่นนึง (เอิ้นเลาว่าแม่ใหญ่ถี่ ซะเนาะ) เลาเป็นคนขี่ถี่ มักย่อง ....... ขุนศรีฯกะคึดม่วน อยากแกล้ง อยากเล่นงานแม่ใหญ่ถี่ ตามปะสาคนไหวดี นั่นล่ะ ขุนศรีฯ กะเอาหม้อดินเผางามๆ ใบนึง ชนิดที่มีฝาปิดนำเด้... เลาไปจับแมงภู่มาโตนึง แล้วกะเอาขี้เผิ้ง ติดขาแมงภู่ไว้กับในฝาหม้อ หม่องที่เป็นจอมแหลมๆ นั่นล่ะ ติดไว้อย่างดี ชนิดที่ว่า แมงภู่พยายามสิบินหนีกะบินไปบ่ได้ นั่นล่ะ ขุนศรีฯ ทดสอบความเรียบร้อย ของหม้อดินวิเศษ.... พอปิดฝาหม้อ แมงภู่พยายามสิบินหนี กะเลยเกิดเสียงดัง วือๆ อยู่ในหม้อดิน.... พอเปิดฝาออก แมงภู่ตกใจ กะเซาบิน เสียงดังวือๆ กะหาย ... ว่าซั่นเถาะ จากนั้น กะถือหม้อดิน อ้อนต้อนๆ ย่างไปเรื่อยๆ (โอ๊ะ...ลืมบอกบะได๋ว่า เลาแต่งโต แบบพ่อค้าขายหม้อ ขายไห ตั้ว) พอไปฮอดเฮือนแม่ใหญ่ถี่ กะเข้าไปเสนอขายหม้อวิเศษ แม่ใหญ่ถี่ เลาบ่แม่นคนกว้างขวางเนาะ กะเลยบ่ฮู้จักขุนศรีฯ ขุนศรีฯ กะโฆษณาความวิเศษของหม้อให้แม่ใหญ่ถี่ฟัง "หม้อดินหน่วยนี้ บ่แม่นหม้อธรรมดา เป็นหม้อดินวิเศษ... วิเศษจั่งได๋วะติ ... เบิ่งดีๆ เด้อแม่ใหญ่เด้อ" ... จากนั้น กะเอามือเคาะๆ ตบๆ หม้อ ... แมงภู่ที่นิ่งอยู่ กะบิน เสียงดัง วือๆ ..... " ได้ยินเสียงบ่แม่ใหญ่ " " ได้ยิน ได้ยิน " แม่ใหญ่ถี่เลาเริ่มสนใจ " ทางในหม้อมีอี่หยังล่ะ ขอเบิ่งแหน่ " " เอ๋า ... เบิ่งเอาโลด " ขุนศรีฯ เปิดฝาหม้อออกถือไว้ (เซี่ยงไว้นั่นล่ะ) แม่ใหญ่ถี่ ก้มพิจาระซอมเบิ่ง กะบ่เห็นอีหยังในหม้อ เห็นแต่ความว่างเปล่า... กะแฮ่งสนใจตื่มเด้.... ขุนศรีฯ กะสาธิตให้เบิ่งอีกสองสามเทื่อ พอปิดฝา มีเสียงดังคือธณูติดว่าว (หมากดุ๋ยดุ่ย ของภาคกลางนั่นล่ะ) พอเปิดฝาออก เสียงกะหาย.... บ๋า งึดแล้ว งึดแล้ว ... อยากได้ซั่นตี้ล่ะ อยากเอาไปอวดหมู่พวก เอาไปอวดแม่ใหญ่สอน แม่ใหญ่ทา ฯลฯ นั่นน๋า "เจ้า ขายท่อได๋ล่ะ" "ขายบ่แพงดอกแม่ใหญ่.. เห็นว่าแม่ใหญ่อยากได้ สิลดราคาให้เป็นพิเศษเลย... เอ๋า..ถืกๆ หนึ่งชั่ง บ่ขาด บ่เกิน" "หม้อหน่วยนี้ ราคา หนึ่งชั่ง วะติ โฮ้ สำมะแพงแท้" "บ่แพงดอก แม่ใหญ่ ของดีมีหน่อย ข้อยมีอยู่ใบเดียวท่อนั้น หม้อวิเศษใบนี้ คันแม่ใหญ่ซื้อ แม่ใหญ่กะสิมีผู้เดียว" "อือ... จั่งซั่นดอก วะติ๊....เอ๋า ตกลง ซื้อกะซื้อ" แม่ใหญ่ถี่ กะเลยเอาเงินหนึ่งชั่ง (แปดสิบบาท) มาจ่ายค่าหม้อดินวิเศษ พอซื้อแล้วๆ เลากะเอาไปตั้งไว ้นอนฟังเสียง วือๆ ...อย่างภูมิอกภูมิใจ... พอเสียงเงียบ กะเอามือตบๆ จักหน่อย กะดังขึ้นอีก... ขุนศรีฯ ขายหม้อได้แล้ว กะฟ้าวหนีกลับเฮือนซั่นแหล่ว พอฮอดแลง ลูกซายของแม่ใหญ่ถี่กลับมา แม่ใหญ่ถี่กะเอาหม้อดินวิเศษ ออกมาอวดลูกซาย แมงภู่เริ่มเยาแล้ว ว่าซั่นเถาะ ลูกซายเห็นผิดสังเกต กะเลย สำรวจเบิ่งดีๆ จั่งค่อยฮู้ว่า เป็นเสียงของแมงภู่... เสียทีขุนศรีฯ จ้อย น้อแม่ใหญ่ถี่เอ้ย

ตอนที่ 66 งัวขี้เป็นเงิน

ขุนศรีฯ พอได้เงินหนึ่งชั่ง หรือแปดสิบบาท จากแม่ใหญ่ถี่แล้ว คึดอยากเอาเงินนั่น มาลงทุน เพื่อสิเกิดกำไรก้อนใหญ่กั่วเก่า เลากะเลย ไปหาซื้องัวท่าวมาโตหนึ่ง ราคายี่สิบบาท จากนั้น กะเอาเงินซุกไว้ในหญ้า แล้วกะเอาป้อนงัว ให้มันกิน เทิงเงินเทิงหญ้า งัวโตนั้น กินเงินเข้าไปตั้งวะห้าสิบบาทพุ่นน่ะ จากนั้นขุนศรีฯ กะจูงงัวโตนั้น ไปติดต่อขาย กับเศรษฐีพ่อค้ามักโลภ ที่มักซื้อของเก็งกำไรหลายๆ เพราะคึดว่า แผนนี้ต้องใช้กับคนมักโลภ จั่งสิได้ผลดี พอไปฮอดบ้านเศรษฐีมักโลภ กะบอกว่า "ข้อยมีงัวคูณ งัวมั่ง งัวมี มาขายให้เจ้า" "งัวโตนี้บ้อ งัวมั่งงัวมี... มันดีจั่งได๋ ว่ามาดู้" "งัวโตนี้ พิเศษกั่วงัวโตอื่นทั้งหลาย กะคือว่า มันสิขี้ออกมาเป็นเงิน มื้อละประมาณ บ่ต่ำกั่วยี่สิบบาท" "งัวแนวนี้ กะมีอยู่บ้อ... คันเป็นจั่งเจ้าว่า เป็นหยังเจ้าจั่งบ่เลี้ยงไว้เอง เจ้าเอามาขายเฮ็ดหยัง" "มีแน่นอน รับรองได้ ...ข้อยเองกะบ่อยากขายดอก ของดี หายากปานนี้ ผู้ได๋สิอยากขายเนาะ แต่ที่ข้อยตัดสินใจขายนี่ กะเพราะว่ามันจำเป็นอีหลี ข้อยมีปัญหา ต้องการใช้เงินด่วน ข้อยบ่มีเวลาสิรอถ่า มื้อละยี่สิบ สามสิบบาท ข้อยจำเป็นหลาย กะเลยตัดสินใจขายงัวดีโตนี้" พอดี ขณะที่ขุนศรีฯ กำลังเว้าอยู่หนั่น งัวโตนั้น กะขี้ออกมาปุ๊กปั๊ก ปุ๊กปั๊ก.... ขุนศรีฯ กะเอาไม้มาเขี่ยขี้งัว กะเห็นเงินอีหลี นับได้ยี่สิบบาทพอดี กะยังว้ากะยังว่า... เศรษฐี เห็นงัวขี้ออกมาเป็นเงินอีหลี ถึงกับตะลึง ตาวาว อยากได้อย่างแฮง ซั่นแหล่ว.... " เจ้าขายท่อได๋ล่ะ" "ขายบ่แพงดอก ข้อยต้องการใช้เงินด่วนพันบาท ข้อยขอจักพันบาท ได้บ่ท่านเศรษฐี" "งัวโตนี้ หนึ่งพันบาท วะติ... อืมมมมมมม...." สมองเศรษฐี คึดคำนวณรายได้อย่างรวดเร็ว... ขี้เทื่อเดียว ตั้งวะยี่สิบบาท มื้อนึง ขี้ตั้งวะหลายเทื่อ... เอาอย่างหน่อยๆ ซะไป๋ ได้มื้อละยี่สิบบาท.... เดือนนึง กะประมาณหกร้อยบาท .... สองเดือน พันสอง .... สามเดือน .. สี่เดือน ... ปีหนึ่ง กะประมาณ เจ็ด แปดพันล่ะหวา .... ซื้อหนึ่งพันบาท สองเดือนกะคืนทุนแล้ว ... เหลือนั้น กำไรเฮาเหมิด ... " ตกลง หนึ่งพัน กะหนึ่งพัน " เศรษฐี กะเอาเงินหนึ่งพันบาท มาจ่ายให้ขุนศรีฯ แลกกับงัวท่าวโตนั้น ขุนศรีฯ ผู้ไหวดี บ่ทันพอคราว กะหาเงินได้ตั้งวะ หนึ่งพันบาท... กะยังว้ากะยังวะ เศรษฐี ได้งัวไปแล้ว กะคองคอยท่างัวขี้ พองัวขี้ออกแล้ว กะเอาไม้ไปเขี่ยเบิ่ง กะพ้อเงินอีกสิบห้าบาท... กะดีใจอย่างคัก .... กะคองคอยท่าคือเก่า ... กะได้เงินอีกสิบห้าบาท กะดีใจอย่างคัก .... มื้อลุนมาตี้ล่ะ เห็นงัวขี้ เอาไม้ไปเขี่ยหาปานได๋กะบ่พ้อเงินจ๊ากบาท เอาโลด กะยังว้ากะยังว่า .... เวลาผ่านไปเป็นอาทิตย์ กะบ่มีเงินออกมาอีกเลย ... เศรษฐี กะเริ่มสงสัย ว่าเจ้าของถืกตั๋ว กะเลยไปถามขุนศรีฯ ผู้เอางัวมาขาย ขุนศรีฯกะถามคืนว่า "เจ้าเอาหยังให้มันกินล่ะ" "กะเอาหญ้า นั่นล่ะเนาะ " "หยอน แมน ล่ะ แหม..... เจ้าเอาหญ้าให้มันกิน มันกะต้องขี้ออกมาเป็นหญ้า.. ถ้าเจ้าต้องการให้มัน ขี้ออกมาเป็นเงิน เจ้ากะต้องเอาเงินให้มันกิน ซั่นตี้" "เอาให้กินสิบบาท มันสิขี้ออกมาซาวบาท ร้อยบาทบ่?" "บ้าตี้ ..ให้กินสิบบาท มันกะขี้ออกมาสิบบาท ท่อนั่นตั้ว... คันเจ้าอยากให้มันขี้ออกมา เป็นเงินร้อยบาท เจ้ากะต้องเอาเงิน ให้มันกินร้อยบาท" "ให้กินซั่มได๋ กะขี้ออกมาซั่มนั่น" "เอ้อ..แม่นแล้ว" "คันจั่งซั่น มันสิมีประโยชน์อีหยังคันน่ะ" " กะมีประโยชน์ที่ว่า งัวขี้ออกมาเป็นเงินนั่นเด้ " แป่ววว ... เศรษฐี เลาบ่ยอม กะไปฟ้องศาล ให้ตัดสินคดีว่าขุนศรีฯขี้โกง ..... แต่ว่าในที่สุด เศรษฐีกะแพ้คดี ที่บ่ได้ถามให้ชัดเจนว่า การที่สิให้งัวขี้ออกมาเป็นเงินนี่ ต้องให้งัวกินอีหยัง ... เพราะว่าตอนเศรษฐีเลาซื้องัว งัวกะได้ขี้ออกมาเป็นเงินอีหลี ขุนศรีฯบ่ได้ตั๋ว..... ขุนศรีฯ ผู้ไหวดี กะเลยรอดโตไปอย่างลอยนวล สะล่ะล่ะ

ตอนที่ 67 บักป่องน้องผู้ปราดเปรื่อง

เว้ามาฮอดบ่อนบั้น เรื่องราวตอนมันมัน กะจ้อจั้นใกล้สิม่อ รอฟังเด้อพี่น้อง ซุมพวกหมู่เฮา ขอย้อนกล่าวเถิงน้องหล่า ของเซียงเมี่ยงนั่นนา ผู้ตายถิ่ม ย่อนอ้ายป่วง เอามีดพร้าปาดโผ่ พุงปิ้นล้างไส้เลา นั่นเด้อ เป็นตาหลูโตนซาติ บ่ทันใหญ่ ผัดตายป๋า เลาตั้งจิตจองพันธา ซาติสิมา ให้ปัญญาหลายล้น ให้ปัญญาเกินเจ้า ญาอ้ายซาย ผู้ปาดโผ่ของข้อยแหน่ สิได้มีปัญญาแก้ ยามอ้าย จองผลาญ นั่นเยอ..... กะจั่งว่าล่ะเนาะ คือสิจำได้อยู่ดอกเนาะ ว่าขุนศรีฯ ตอนเลาน้อยๆ มีน้องชายผู้นึง เลาเคยแบ๋ไส้ออกมาล้างน้ำ จนน้องตาย นั่นหนา.... อยู่หมู่บ้านหม่องนึง นอกกำแพงเมือง มีเด็กน้อยผู้นึง เป็นคนฉลาด ปัญญาดี ไหวพริบดี (แต่บ่ไหวดี) ขอเอิ้นเลาว่าบัก "ป่อง" ซะเนาะ "ป่อง" ที่ตรงกันข้ามกับ "ปึก" นั่นล่ะ (ออกเสียงให้ถืกเด้อ) แต่ผัดบักป่อง เกิดได้ใหญ่มา พ่อแม่ที่ยากจน ขัดสน กะได้บักป่องนี่ล่ะ เป็นคนซ่อยหาแนวอยู่แนวกินมาให้ บักป่อง เลาสิใช้ปัญญาความฉลาดของเจ้าของ ซ่อยเหลือผู้อื่น ช่วยเหลือชาวบ้านอยู่เรื่อยๆ จนชาวบ้านฮักหอม ฮักแพง เอ็นดู แล้วกะมักสิให้แนวอยู่แนวกิน ของใช้ของสอย เงินคำกำแก้วกะมีเด้ ฮาลังเทื่อ บะดาย.... มีอยู่มื้อนึง... บักป่องอยากกินแตงโม ...ช่วงนั้นบักป่องอายุประมาณสี่ ห้า ขวบ ล่ะมั้ง... เลาไปแล่นเล่น เห็นเด็กน้อยผู้อื่นกินแตงโมอ้าง คึดอยาก แต่บ่มีเงินซื้อ.. บักป่องฮู้ว่าเศรษฐี มีสวนบักแตงโม กะกำเงินหนึ่งสตางค์ ไปขอซื้อแตงโมกับเศรษฐี... เศรษฐีคึดว่า บักป่องมีเงินหลายพอซื้อ กะเลยพาไปสวนแตงโม ให้บักป่องเลือกเอา บักป่อง ย่างไปสวนแตงโมกับเศรษฐี พอฮอดสวนแตง กะถามเศรษฐีว่า "หน่วยได๋มันสุก""หน่วยใหญ่ๆ ข้วนน้อยๆ ..นี่..นี่.." เศรษฐีเว้าแล้ว กะก้มลง เอามือเขิ่กบักแตงโม กุ๊ก กุ๊ก ... บักป่องกะคึดอยากกินแตงโมสุก กะเลยถามว่า "หน่วยสุก ๆ จั่งซี้ หน่วยละท่อได๋ ?" "หน่วยละสลึง" บักป่องกะได้แต่น้ำลายไหล นั่นแหล่ว...จากนั้นกะเลยว่า "ข้อยมีเงินอยู่สตางค์เดียว ซื้อได้บ่ ?" "บ่ได้ดอกหล่าเอ้ย.... สตางค์เดียว กะได้แค่บักโมน้อยท่อนล่ะ... นั่น นั่น หน่วยนั่น" "คันจั่งซั้น ข้อยขอซื้อหน่วยนั่นล่ะ" บักป่องเว้าแล้ว กะเด่เงินหนึ่งสตางค์ให้เศรษฐี... เศรษฐีรับเงินแล้ว กำลังสิย่างไปปลิดบักโมน้อย... บักป่องกะเว้าว่า "ท่านเศรษฐี... อย่าฟ้าวเด็ดบักโมเด้อ... ข้อยฝากไว้นี่ก่อนเด้อ อีกจักเดือน นึงข้อยจั่งสิมาเอา... ท่านเศรษฐีดูแลไว้ดีๆ เด้อ" พะนะบักป่องว่า เศรษฐี ตะลึงไปพุ่นล่ะ... เห็นว่าบักป่องมันหัวดี อดทนรอคอย (อดส้มไว้กินหวาน) กะเอ็นดูเด็กน้อย กะเลยบ่ว่าอีหยัง แถมรับปากว่า สิดูแลบักแตงโมหน่วยนี้ ไว้ให้ อย่างดี พอครบหนึ่งเดือน แตงโมหน่วยนั้น กะใหญ่ขึ้นจนสุก บักป่องกะมาเอาไปกิน อย่างอะเหร็ดอะหร่อย (ด้วยราคาเพียงสตางค์เดียว) ...จ่ายก่อนหนึ่งสตางค์ จ่ายหลังหนึ่งสลึง... ผาด ว้า......

ตอนที่ 68 เณรป่องสะสางคดีขี้กะโมย

บักป่อง ใหญ่ขึ้นแหน่จักหน่อย หลวงพ่อ กะมาขอให้ไปบวช บักป่อง กะเลยได้บวชเป็นเณร ได้ชื่อว่า "เณรป่อง" ร่ำเรียน เขียนอ่าน เรียนโตธรรม เรียนบาลี ฯลฯ เลากะเรียนเก่งของเลาอยู่เด้ล่ะ ช่วงที่เป็นเณรนี่กะดายเนาะ กะมีคนมาขอความช่วยเหลืออยู่เรื่อยๆ อยู่ตั้วล่ะ.. มีอยู่ช่วงนึงน้อ... เศรษฐีเมืองทวาลี ที่เป็นอุปฐากหลวงพ่อ มีปัญหาให้เณรป่อง ซ่อยหาขี้กะโมยให้ ว่าซั่นเถาะ... เรื่องราวกะมีอยู่ว่า ... เมียของเศรษฐี เลาเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ แล้วกะถอดสร้อยคอทองคำ ออกแขวนไว้ข้างฝาห้องน้ำ พออาบน้ำแล้วแล้ว ผัดลืมสร้อยซั่นตี้ล่ะ... ฮอดยามมื้อเซ้ามา สวยๆ จักหน่อย นั่นล่ะว๋า เลาหาสร้อยคอบ่พ้อ... คึดทบทวนแล้วกะฮู้ว่า ลืมไว้ห้องอาบน้ำมื้อแลงวาน กะไปหาอยู่ห้องอาบน้ำ กะบ่เห็นสร้อยคอ เลาเลยคึดว่า น่าสิมีคนรับใช้ผู้ได๋ผู้นึง เอาไปเก็บไว้ให้ล่ะมั้ง จากนั้น กะเอิ้นคนรับใช้เหมิดทุกคนมาถาม กะบ่มีผู้ได๋เก็บไว้จักคน กะยังว้ากะยังว่า.... แล้วสร้อยคอมันหายไปไสล่ะ หรือว่ามันเหาะหนี ??? เมียเศรษฐี ปรึกษาเศรษฐี... เศรษฐีกะว่า สงสัยคนรับใช้ในบ้าน ต้องมีคนได๋คนนึง เป็นขี้ขะโมย คักๆ เศรษฐี กะเอิ้นมาถามอีก กะบ่มีผู้ได๋ยอมรับสารภาพ.... ระดับเศรษฐีแล้ว สร้อยคอทองคำ บ่เสียดายปานได๋ดอก แต่ว่าคนรับใช้ในบ้าน มีนิสัยขี้กะโมยนี้ตี้ เลาบ่มัก... กะเลยต้องฮู้ให้ได้ว่า ไผเป็นขี้กะโมย สิได้สั่งสอนให้หลาบจำ นั่นหนา... เศรษฐี จนปัญญาสิหาโตขี้ขะโมย กะเลยไปวัด ปรึกษาเณรป่อง ซั่นแหล่ว เณรป่องได้ฟังเรื่องราวแล้ว กะรับปากว่า สิหาโตขี้ขะโมยให้อย่างถืกต้อง... จากนั้น กะเตรียมสิ่งของยัดใส่ถงย่าม ถือถงย่ามติดตามไปบ้านเศรษฐี พอฮอดบ้านเศรษฐี... เศรษฐีกะเอิ้นคนรับใช้มาเหมิดทุกคน แล้วกะเว้าว่า "ในบ้านนี้ อาจสิมีคนได๋คนนึง เป็นขี้ขะโมย หลอยสร้อยคอไป เฮากะเลย ไปนิมนต์เณรป่อง ขอให้ซ่อยหาโตขี้ขะโมยให้ เชิญเณรป่องตามสบาย..." จากนั้นเณรป่อง กะเอามือกำซี่ไม้ไผ่ที่เตรียมมา ออกจากถงย่าง แล้วกะว่า "ไม้ไผ่นี้ เป็นไม้ไผ่ลงคาถาอาคม อาคมที่อยู่ในไม้ไผ่นี้ สิฮู้ว่าไผบริสุทธิ์ ไผเป็นขี้ขะโมย... ไม้ไผ่นี้ยาวท่อกันเหมิดทุกอัน... ผู้ได๋บริสุทธิ์ ไม้ไผ่กะสิอยู่ส่ำเก่า ยาวท่อเก่า แต่ว่าผู้ได๋เป็นขี้ขะโมย ไม่ไผ่ที่ผู้นั้นเอาไป พอฮอดมื้ออื่นเซ้า กะสิยาวขึ้นหนึ่งนิ้วพอดี มื้ออื่นเซ้า ให้ทุกคนเอาไม้ไผ่ของเจ้าของ มาให้ข้อยเบิ่ง มาแทกกันเบิ่ง กะสิฮู้ทันทีว่า ผู้ได๋เป็นขี้ขะโมย" จากนั้นเณรป่อง กะให้คนรับใช้ทุกคนมาเอาไม้ไผ่ รวมเทิงครอบครัวของเศรษฐี ทุกคนนำนั่นล่ะ แล้วกะนัดว่า มื้ออื่นเซ้าให้เอาไม้ไผ่มาคืน บักอั่นนึง (เอิ้นเลาว่าบักหลอยซะเนาะ) บักหลอย เลาเป็นคนรับใช้อยู่บ้านเศรษฐี มื้อที่สร้อยหายนั่น เลาเป็นคนตักน้ำ เข้าไปใส่ห้องน้ำ เห็นสร้อยทอง กะเลยหลอยเอา..... หลังจากบักหลอยจับไม้ไผ่ มาจากเณรป่องแล้ว กะเอาไปวางไว้หัวนอน รอจนฮอดเซ้า สะล่ะล่ะ พอฮอดเซ้า... ด้วยความฉลาดแกมโกง ของบักหลอย เลากะคึดได้ทันทีเลยว่า "เณรป่องบอกว่า ไม้ของขี้ขะโมยสิยาวขึ้นหนึ่งนิ้ว... สิยากหยัง แค่เอามีดมาตัดออกหนึ่งนิ้ว ให้มันยาวท่อของผู้อื่น พอเอาไปแทกกัน กะบ่ฮู้แล้ว... แผนตื้นๆ สิมาล่อจับคนหัวดีจั่งบักหลอย บ่ได้ผลดอก" บักหลอย กะเลยเอามีดมาตัดไม้ไผ่ออกหนึ่งนิ้ว หลังจากทุกคนมารวมกันแล้ว กะเอาไม้ไผ่มาคืนให้เณรป่องทีละคน เณรป่องเอาแทกกันเบิ่งแล้ว มีอยู่อันนึง สั้นกว่าหมู่ เป็นของบักหลอย นั่นเอง เณรป่องกะเลยว่า "เจ้า เป็นขี้ขะโมย" "เณรเอาหยังมาเว้า... กะเณรบอกว่า ของขี้ขะโมยมันสิยาวขึ้นหนึ่งนิ้ว ของข้อยสั้นกว่าของผู้อื่นอีก มันแฮ่งบริสุทธิ์ กว่าผู้อื่น นั่นตั้ว" บักหลอยฟ้าวเถียง "บ่แม่นจั่งซั่นดอก... ไม้ไผ่ซุมนี้ บ่มีคาถาอาคมอีหยังดอก แล้วกะบ่สามารถสิยาวขึ้นได้เองดอก ผู้ได๋ที่เป็นขี้ขะโมย ฮู้อยู่แล้วว่า เจ้าของเป็นขี้ขะโมย ฮ้อนโต ย่านผู้อื่นฮู้ กะสิตัดไม้ไผ่ออกหนึ่งนิ้วใ ห้มันยาวท่อหมู่ ผลกะคือ ไม้ไผ่ของขี้ขะโมย กะสิสั้นกว่าหมู่... ของเจ้าสั้นกว่าหมู่.. เจ้า.. เป็นขี้ขะโมย" บักหลอยฮู้โตว่า ถืกจับได้ กำลังสิแล่นหนี เศรษฐี กะสั่งให้คนจับไว้... ในที่สุดบักหลอยกะรับสารภาพ... เอาสร้อยมาคืน แล้วกะขอร้องเศรษฐีบ่ให้ไล่ออก... เศรษฐีกะใจดี บ่ไล่ออก... บักหลอยกะสัญญาว่า สิเป็นคนดี ซื่อสัตย์ต่อเศรษฐีตลอดไป ว่าซั่นเด้.... เณรป่อง ซ่อยหาโตขี้ขะโมย ให้เศรษฐีได้อีหลี... เศรษฐี กะฮักเอ็นดู ปานลูกพุ่นตั้วล่ะ...

ตอนที่ 69 เณรป่องเผชิญกับขุนศรี ฯ

มื้อนึง ขุนศรีฯไปเยี่ยมยามหมู่ผู้นึง อยู่นอกกำแพงเมือง มื้อนั่นคือกัน หลวงพ่อใช้เณรป่อง เอาของไปให้ขุนผู้นึง ที่บ้านอยู่ริมแม่น้ำ .... เณรป่องกะพายเรือไป ติ๊หน่อง ติ๊หน่อง จนฮอดบ้านขุนผู้นั้น เอาของให้เรียบร้อย กะพายเรือกลับ หน่องติ๊ หน่องติ๊ ....จนมาฮอดท่าน้ำหม่องนึง.. ขุนศรีฯเลายืนอยู่หม่องนั่น เห็นเณรน้อยพายเรือมาเลาะนั่น กะเลยกวักมือเอิ้น... เณรป่องกะเลยพายเรือ แวะเข้าท่านั่น... ขุนศรีฯกะถามว่า "เณร สิไปไสน้อ" เณรป่องกะว่า "สิกลับวัดใหญ่ ทางพู้น" "ขอไปนำแหน่เด้อ" "อยากไป กะไปตี้ล่ะโยม" ขุนศรีฯ กะขึ้นไปนั่งเทิงเรือ... แทนที่สิขอซ่อยพายเรือ เพราะเจ้าของเป็นโยม.. แต่กลับนั่งเสย สิให้เณรเป็นคนพาย.. เณรป่องเห็นว่าบ่สมควร กะคึดบ่พอใจ แต่ว่ากะเว้าหยังบ่ได้... เณรป่องกะเลยลุกขึ้นยืน แล้วกะพายเรือ.. เรือมันกะบ่ไปแหล่วเนาะ... ขุนศรีฯ รำคาญ กะเลยว่า ? เป็นหยังบ่นั่งพาย น้อเณรน้อ ? เณรป่องกะบ่ปากหยัง เอาพายวางพาดเรือ แล้วกะนั่งพาย (นั่งทับไม้พาย) ..มองหน้าขุนศรีฯเสย (เจอดอกหนึ่งแล้วน้อขุนศรีฯ) ขุนศรีฯบ่เคยถืกไผ เฮ็ดกับเลาจั่งซี้ กะสูนแหล่วเนาะ กะเว้าว่า "ฮู้ยน้อ.. มานั่งทับพายอยู่จั่งซี้ มันสิฮอดไสเป็น เณรเคยพายจั่งได๋ กะพายจั่งซั่นล่ะ" เณรป่อง กะเลยพายตามปกติ ติ๊หน่อง ติ๊หน่อง ไปเรื่อยๆ ...จากนั้นกะถามขุนศรีฯว่า "โยมสิลงไสล่ะ" ขุนศรีฯ ขี้คร้านปากขี้คร้านเว้า เทิงสูนอยู่ก่อนแล้ว กะเลยว่า "จอดหม่องได๋ กะลงหม่องนั่นล่ะ" อีหลีแล้วขุนศรีฯ คึดว่า พอฮอดหม่องสิลง สิบอกให้เณรป่องแวะจอดเรือ เรือจอดแล้วกะ สิลงหม่องที่เรือจอด กะเลยเว้าจั่งซั่น เณรป่อง ได้ที พอพายเรือไปฮอดป่าไผ่ริมน้ำ กะแวะจอดหม่องนั่น (ขุนศรีฯบ่ทันได้บอกให้จอดจ้อย) แล้วกะว่า "โยม เรือจอดแล้ว ฮอดหม่องลงแล้ว".... (เจออีกดอกแล้ว) ขุนศรีฯ บ่ฮู้ว่าสิว่าจั่งได๋ เพราะว่าเจ้าของได้เว้าไว้แล้ว กะเลยจำเป็นต้องลง.... บู๋อุ่มไผ่ เฮอะไผ่ ถืกหนามไผ่ตำ จนเหลิ่นเหมิด กะยังว้า กะยังว่า ขุนศรีฯ เสียทีให้เณรป่อง กะจื่อไว้จำไว้ เณรผู้นี้ ต้องเห็นดีกัน .....

ตอนที่ 70 ขุนศรีซื้อของนายฮ้อย

มีพ่อค้าผู้นึง (เอ้นเลาว่านายฮ้อย ซะเนาะ) เลามักสิเอาของใส่เกวียน ไปหาขายเด้ มื้อนึง นายฮ้อยเอาพวกเครื่องปั้นดินเผา ถ้วย โถ โอ ชาม แจกัน ฯลฯ ซุมนี้ล่ะ มาจอดเกวียนขายของอยู่ตลาด ทางสี่แยก... "ถ้วย งามๆ แจกันงามๆ ขายถืกๆ เด้อ มาเลือกซื้อ เลือกเบิ่งเด้อ" มื้อนั่น ขุนศรีฯ ย่างผ่านมาทางนั่น เห็นนายฮ้อยขายของ คึดอยากได้ กะเลยแวะไปเบิ่ง.. เลือกแจกันมาอันนึง ถามว่า "อันนี้ ราคาท่อได๋" นายฮ้อยกะตอบว่า "อันละบาท" จากนั้น ขุนศรีฯ กะเลือกแจกันอันใหญ่กว่าเก่า มาอีกอันนึง ถามว่า "อันนี้ ล่ะ" "อันนี้ หนึ่งบาท สองสลึง" ขุนศรีฯ เลือกมาอีกอันนึง ถามว่า "แล้วอันนี้ล่ะ" "อั่นนี้ กะหนึ่งบาทสองสลึง" จากนั้นขุนศรีฯ ในมือหอบแจกันไว้สามอัน ถามต่อว่า "แล้ว ทั้งเหมิดนี้ล่ะ ราคาท่อได๋" "เทิงเหมิด....ราคาสี่บาท" "ราคาสี่บาท??" "แม่นล่ะ" "ตกลง ข้อยเอาเทิงเหมิด" จากนั้นขุนศรีฯ กะจ่ายเงินให้นายฮ้อยสี่บาท แล้วกะว่า "ของเทิงเหมิดนี้ เจ้าขายให้ข้อยแล้ว เป็นของข้อยเหมิดแล้ว" จากนั้น กะโดดขึ้นเทิงเกวียน ขับเกวียนหนีกลับบ้านเสย... นายฮ้อย บ่ฮู้ว่าสิเฮ็ดจั่งได๋ กะเลยไปฟ้องศาล ให้ศาลซ่อยตัดสินคดีให้ ศาลกะเอิ้นขุนศรีฯ มาสอบถาม ขุนศรีฯกะว่า "กะตกลงราคากันแล้ว ว่าเทิงเหมิด ราคาสี่บาท ข้อยกะจ่ายเงินครบสี่บาทแล้ว ข้อยผิดหม่องได๋" ศาลเองกะฮู้อยู่ ว่าขุนศรีฯเฮ็ดบ่ถืก แต่จากหลักฐานแล้ว บ่สามารถสิเอาผิดขุนศรีฯได้ ในที่สุด ศาลกะตัดสินให้ขุนศรีฯ ชนะคดี นายฮ้อยกะเลยเสียเทิงเกวียน เทิงงัว เทิงของทั้งหลาย เหมิดตนเหมิดโต สะล่ะล่ะ

ตอนที่ 71 เณรป่องซ่อยสะสางคดี

นายฮ้อย แพ้คดีแล้ว เหมิดทางสิไป กะย่างไปเรื่อย จนมาฮอดวัดใหญ่ ที่เณรป่องอยู่ เลาเสียใจหลาย ที่ทำมาหากินอย่างซื่อสัตย์สุจริต ผัดมาถืกคนพาล โกงเอาของไป เหลียใจหลาย กะเลยนั่งไห้อยู่ใต้ต้นโพ ซิมซิ ซิมซิ เป็นตาหลูโตน คือหยังนี่ตั้ว เณรป่อง ย่างมาเห็น สงสัย เลยเข้าไปปลอบใจ แล้วกะถามไถ ่ถึงเรื่องทุกข์ใจ ของนายฮ้อย... นายฮ้อย กะเว้าให้ฟังตามเป็นจริง.. เณรป่องฟังแล้ว กะฮู้ทันทีว่า สิจัดการกับคนแบบนี้ได้จั่งได๋... คนเล่นคำ กะต้องจัดการ ด้วยการเล่นคำ ...กะเลยเว้าให้นายฮ้อยเบาใจ ว่าสิซ่อยจัดการ กับคนพาลนี้ แล้วกะสิเอาของมาคืนให้... จากนั้นกะบอกอุบาย พร้อมทั้งคำเว้าคำจา ที่ควรสิเว้า ที่ควรสิระวัง... นายฮ้อย เรียนคำเว้าคำจา พร้อมทั้งเข้าใจอุบายแล้ว กะปลอดโปร่งโล่งใจ... ออกจากวัด ไปหาเศรษฐีที่เณรป่องแนะนำ เว้าเรื่องราวให้เศรษฐีฟัง แล้วกะขอยืมรถม้า ม้า พร้อมทั้งสินค้า... เศรษฐีกะใจดี ให้ยืม เด้ นายฮ้อยขับรถม้า บรรทุกผ้าไหมเนื้อดี ลายงาม มาขายอยู่ตลาด สี่แยกหม่องเก่า ? มื้อนั่น ขุนศรีฯ กะมาย่างเล่นตลาดคือเก่า เห็น กะอยากได้ผ้าราคาถืกอีก กะเลยเข้าไปถามซื้อ ... นายฮ้อยเห็นหน้า กะจำได้ .. มันมาแล้ว มันมาแล้ว .... " ผืนนี้ ราคาท่อได๋ " " ผืนนี้ ราคาสองบาท " " ผืนนี้ล่ะ ราคาท่อได๋ " " ผืนนี้ ราคาสามบาท " " แล้วผืนนี้ล่ะ ราคาท่อได๋ " " ผืนนี้ ราคาสามบาทสองสลึง " ขุนศรีฯ มามุขเก่า ถือผ้าไว้ในมือเทิงสามผืน แล้วกะถามว่า " เหมิดนี้ ราคาท่อได๋" นายฮ้อยจำคำเณรป่องไว้ .. ระวังคำเว้า ...กะตอบว่า "ผ้าสามผืนที่เจ้าถืออยู่นั่น รวมราคาแปดบาทสองสลึง" ขุนศรีฯผิดคาด.. เอาวะ บ่ได้แผนนึง กะต้องเอาแผนสอง "อืม...ลดราคาได้บ่" ...ขุนศรีฯ เอามือถือผ้าสามผืนคือเก่านั่นล่ะ เจรจาต่อรองราคา "เหมิดนี้ แปดบาท ซะเนาะ นายฮ้อยเนาะ" "ลดราคาบ่ได้ดอก" "ข้อยมีเหมิดตนเหมิดโตอยู่แค่นี้" ขุนศรีฯ เด่มือให้เบิ่งเงิน "ขายให้ข้อยซะเนาะ" "เอ้อ เอ้อ..ตกลง ตกลง คันจั่งซั่น กะเอาทั้งเหมิดที่เจ้ามีนั่นล่ะ" นายฮ้อยตอบตกลง ขุนศรีฯ ดีใจอย่างคัก เด่เงินทั้งเหมิดให้นายฮ้อย แล้วกะว่า "ของเทิงเหมิดนี้ เจ้าขายให้ข้อยแล้ว เป็นของข้อยเหมิดแล้ว" จากนั้น กะโดดขึ้นเทิงรถม้า ขับรถม้ากลับบ้านเสย ? นายฮ้อย กะฮ้องนำ จอด จอด หยุดก่อน หยุดก่อน ....กะบ่ทันจ้อย.. ขุนศรีฯมาฮอดบ้าน ขนของเข้าบ้าน สำบายใจเฉิบ... คึดในใจว่า "คนพวกนี้โง่แท้ๆ" ทางนายฮ้อย กะไปเอิ้นชาวบ้านให้มาซ่อย เด้ พอมาฮอดบ้านขุนศรีฯ กะพาชาวบ้าน เข้าไปขนของในบ้านขุนศรีฯ มาใส่รถ ใส่เกวียน โดยบ่สนใจคำทัดทาน ของคนรับใช้ขุนศรีฯ ขุนศรีฯออกมาเห็น กะจำได้ว่าเป็นนายฮ้อย กะว่านายฮ้อยบุกรุกบ้านเจ้าของ พร้อมทั้งไปแจ้งความ ให้ศาลพิพากษาตัดสินคดีให้อีก ศาลฟังเรื่องราวจากทั้งสองฝ่ายแล้ว กะถามว่า "เป็นหยังขุนศรีฯคือ เอารถม้า พร้อมทั้งสินค้าของนายฮ้อยมา" ขุนศรีฯกะว่า "กะตกลงกันแล้วว่า ซื้อขายเทิงเหมิด ...จ่ายเงินไปแล้ว กะต้องได้ทั้งเหมิด" ประเด็นนี้ขุนศรีฯ กะชนะ.. จากนั้นกะถามนายฮ้อยว่า "เป็นหยังจั่งเข้าไปขนของ ในบ้านของขุนศรีฯ โดยบ่ได้รับอนุญาต จากเจ้าของบ้าน" นายฮ้อยกะว่า "บ่ได้รับอนุญาตจั่งได๋ กะตกลงซื้อขายกันเรียบร้อย ว่า เอาทั้งเหมิดที่ขุนศรีฯมี ทั้งเหมิดที่ขุนศรีฯมี น่ะ มันบ่แมนแค่เงินแปดบาทที่พกติดโต มันต้องรวมเทิงบ้าน เทิงข้าวของในบ้าน พร้อม เด้.... ตกลงกันแล้ว ขุนศรีฯ กะยอมรับแล้ว" ศาลกะถามว่า "แม่นจั่งซั่นตี้ ขุนศรีฯ มีหยังสิแก้โตบ่" ขุนศรีฯกะว่า " คำว่า เอาทั้งเหมิดที่เจ้ามี น่ะ ได้ตกลงกันยุ แต่ว่า ข้อยเข้าใจว่า เทิงเหมิดแค่เฉพาะที่มีอยู่ ในตนในโตตอนนั้น เด้ บ่ได้หมายถึง ของทั้งเหมิดที่ข้อยมี เด้" ในที่สุด ศาล กะตัดสิน ให้ขุนศรีฯ แพ้คดี เพราะคำว่า เทิงเหมิดที่เจ้ามี น่ะ มันคือ สิ่งของเทิงเหมิดที่ขุนศรีฯมีอยู่ นั่นเอง นายฮ้อย กะขนเอาเครื่องปั้นดินเผา ของเจ้าของ ผ้าไหม รถม้า ม้า พร้อมทั้งข้าวของ ของขุนศรีฯ ไปหลายเติบ.... ดีตั้ว บ่ขนไปเหมิด บ่ม้างบ้านไปนำ.... ขุนศรีฯ คึดว่า นายฮ้อย บ่น่าสิมีปัญญามาต่อกรกับเจ้าของได้... กะเลยให้คนไปสืบว่า นายฮ้อย มีไผซ่อยอยู่เบื้องหลัง... กะฮู้ว่า คือเณรป่อง คู่อริเก่า นั่นเอง

ตอนที่ 72 สองเดือนคืนเงิน

ข่าวเณรป่อง ซ่อยเป็นที่ปรึกษาให้นายฮ้อย จนสามารถให้ขุนศรีฯแพ้คดี ได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ข่าว ซ่าไปฮอดไส เณรป่องกะดังไปฮอดหั้น ขุนศรีฯ กะอับอายไปฮอดหั้น คือกัน เณรป่อง บวชเณรมากะโดดเติบ จนใหญ่เป็นบ่าวแล้วเนาะ... ซื่อเสียงทางปัญญาตัดสินคดี กะโด่งดังไปจนฮอดหูพระราชา พระราชากะคึดอยากได้เณรป่อง มาซ่อยงานด้านตัดสินคดี กะเลยให้คน ไปนิมนต์สึกมารับราชการ เด้ เณรป่อง ตกลง สึกออกมา เป็น เซียงป่อง รับราชการอยู่ฝ่ายตัดสินคดี ซั่นแหล่ว.... มีแม่ใหญ่อั่นนึง (เอิ้นเลาว่าแม่ใหญ่แตน ซะเนาะ) แม่ใหญ่แตน ถึงเลาสิบ่ได้เป็นเศรษฐี แต่เลากะเป็นคนพอมีพอกินอยู่ ว่าซั่นเถาะ เลาได้ข่าวว่า มีผู้ตัดสินคดีคนใหม่ ตัดสินอย่างถืกต้องยุติธรรม กะเลยไปร้องทุกข์ว่า "ขุนศรีฯได้ยืมเงินไป ห้าร้อยบาท บอกว่า จักสองเดือน สิคืนเงินให้ นี่กะเลยสองเดือนมาเป็นปีแล้ว ไปทวงยามได๋ กะบอกว่า ยังบ่ทันได้ครบสองเดือน จนฮอดเท่าซุมื้อนี้ ยังบ่ทันได้เงินคืนเลย" เซียงป่องได้ฟังแล้ว กะเข้าใจแจ่มแจ้งจนเหมิด แล้วกะบอกแม่ใหญ่แตนว่า บ่ต้องห่วง สิตัดสินคดีให้อย่างยุติธรรม แล้วกะกำหนดนัด มื้อพิจารณาคดีเป็น ตอนค่ำของมื้อขึ้นสิบห้าค่ำ ........ จากนั้น กะส่งใบบอก ไปแจ้งขุนศรีฯ ให้มาฟังคดี พอฮอดมื้อ ฮอดเวลานัดหมาย แม่ใหญ่แตน กับขุนศรีฯ กะมาพร้อมกัน อยู่ศาลาตัดสินคดี เด้ หลังจากให้ทั้งสองคน เว้าเหตุการณ์ให้ฟังแล้ว เซียงป่องกะเว้าว่า "ว่าจั่งได๋ขุนศรีฯ เจ้ายังบ่ทันได้เอาเงินคืน ให้แม่ใหญ่แตน ตามที่แม่ใหญ่เว้าแม่นบ่" "แม่นยุ... กะตามสัญญา ตกลงกันว่า ครบสองเดือน สิคืนเงินให้ ตอนนี้ยังบ่ทันได้ครบสองเดือน ยังบ่ทันถึงเวลาคืนเงินดอก" เซียงป่องกะเลยว่า "อืม..สัญญา บอกว่า ครบสองเดือน สิคืนเงิน วะติ ?" "แม่นแล้ว" ขุนศรีฯ ยืนกราน "ถ้าครบสองเดือน กะสิคืนเงินให้ ตามสัญญา แม่นบ่?" "แม่นแล้ว" จากนั้นเซียงป่อง กะหันไปถามแม่ใหญ่แตนว่า " จากมื้อที่เจ้าให้ขุนศรีฯยืมเงิน จนฮอดมื้อนี้ ได้จักเดือนแล้ว" " ดนอย่างคัก ได้สิบสองเดือนแล้ว " แม่ใหญ่แตนตอบ " แม่ใหญ่แตนบอกว่า สิบสองเดือนแล้ว เจ้าสิว่าจั่งได๋ ขุนศรีฯ" " สิบสองเดือนอยู่ไส ? จนฮอดมื้อนี้ กะยังเดือนเดียวคือเก่า บ่เคยมีสองเดือนจักเทื่อ" "คำว่า เดือน ที่เจ้าว่า หมายถึง อีเกิ้ง แม่นบ่" "แม่นแล้ว จากมื้อนั้น จนฮอดมื้อนี้ เดือน มีแค่เดือนเดียว บ่เคยมีสองเดือนจักเทื่อ" "เจ้าว่า บ่เคยมีสองเดือนวะติ" "แม่น... คันบ่เชื่อ ออกไปเบิ่งกะได้" จากนั้น ทุกคนกะออกจากศาลา ไปเบิ่งอีเกิ้งเต็มดวง กำลังลอยนวลเด่นอยู่เทิงฟ้า.... " นั่นเด้ เดือนมีเดือนเดียว บ่เห็นมีสองเดือนเลย" ขุนศรีฯ ยังเล่นสำนวนต่อ ... แบบว่าเจ้าของชนะแน่นอน ... เซียงป่อง กะย่างไปอีกมุมนึง ทางหน้ามีสระน้ำ แล้วกะเอิ้นทุกคน รวมทั้งขุนศรีฯนำนั่นล่ะ ให้มาเบิ่งจากหม่องนี่ แล้วกะว่า "อยู่เทิงฟ้า มีเดือน ดวงนึง แล้วกะ..นั่น.. อยู่ในน้ำ มีเดือนอีกดวงนึง.... รวมเป็นสองเดือน ทุกคนเห็นบ่?" ทุกคนเหลียวเบิ่งเดือน พร้อมทั้งพยักหน้าเห็นตามที่เซียงป่องเว้า "ตอนนี้ ครบสองเดือน ตามที่สัญญากันไว้แล้ว... เป็นเวลาที่ขุนศรีฯ ต้องคืนเงิน ให้แม่ใหญ่แตนแล้ว" ขุนศรีฯ ปากบ่ออก หาทางแก้โตกะบ่พ้อ กะยังว้ากะยังวะ ในที่สุด กะต้องคืนเงินให้แม่ใหญ่แตน สะล่ะล่ะ

ตอนที่ 73 สองปราชญ์ประลองปัญญา

หลังจากขุนศรีฯ แพ้คดี เลากะอับอายอย่างคัก บ่เคยมีไผมาฉีกหน้าเลา จนหน้าแตกยับเยิน ปานนี้ แฮ่งคึดแฮงสูน "บักเซียงป่อง เฮาสองคนต้องได้เห็นดีกัน ไผดีไผอยู่" ขุนศรีฯ เข้าเฝ้าพระราชา ขออนุญาตจัดงาน ประลองปัญญาขั้นเด็ดขาด กับเซียงป่อง... ผู้แพ้ ต้องออกจากราชการ พระราชากะอนุญาตตามที่ขอ วิธีการประลองกะคือ การตอบปัญหา ในคำถามเดียวกัน ไผตอบถืก อยู่... ไผตอบผิด ไป ... ว่าซั่นเถาะ พอฮอดมื้อประลอง กรรมการ กะเอาบักแตงโมมาหน่วยนึง ให้ขุนศรีฯ กับเซียงป่องเบิ่ง.... แล้วกะถามว่า "แตงโมหน่วยนี้ ทางในสีหยัง" (ปกติแล้ว บักแตงโม ถ้ายังบ่สุก ผ่าออกแล้ว สิเห็นเป็นสีขาว ถ้าสุก สิเป็นสีแดง เด้เนาะ.... แต่ว่าแตงโมกะมีหลายพันธุ์ ห่าลังพันธุ์ หน่วยสุก สีขาวกะมี สีเหลืองกะมี สีแดงกะมี เด้ล่ะเนาะ...) เซียงป่อง พิจารณาแล้ว กะตอบว่า "สีขาว" ขุนศรีฯ พิจารณาแล้ว กะตอบว่า "สีดำ" ... คือบ่มีผู้ตอบสีแดงล่ะหือ? ...พระราชา พร้อมทั้งคนที่มาเบิ่งการประลองปัญญา ต่างกะงงไปตามๆ กัน ว่า เป็นหยังขุนศรีฯ จั่งตอบจั่งซั่น... ต่างกะรอลุ้นอย่างใจหายใจคว่ำ... จากนั้น กรรมการ กะเอามีดผ่าแตงโมออก กะเห็น ทางในแตงโมสีขาว .... ท่านผู้ชม กะฮ้องว่า "เซียงป่องชนะแล้ว เซียงป่องชนะแล้ว" "ขุนศรีฯแพ้แล้ว ขุนศรีฯแพ้อีกแล้ว" ขุนศรีฯ กะย่างออกไปยืนอยู่กลางลาน เว้าว่า "คำว่า ทางใน มันหมายถึง ทางในของเนื้อแตงโมเข้าไปอีก ลองเบิ่งในแตงโมตี้ล่ะ สีหยัง" กรรมการ กะจก ในแตงโมออกมา ชูให้คนเบิ่ง.... ปรากฏว่า ในแตงโม สีดำ จั่งที่ขุนศรีฯว่าอีหลี.. คนทั้งหลาย กะพากันตบมือให้ พร้อมทั้งฮ้องแซวๆ ว่า "ขุนศรีฯชนะแล้ว ขุนศรีฯชนะแล้ว".... ขุนศรีฯ กะยืนยืดอก อย่างสง่าผ่าเผย ว่าเจ้าของชนะ เด้ เซียงป่อง กะย่างออกไปกลางลาน ยกมือให้สัญญาณ บอกให้คนทั้งหลายเงียบสาก่อน ว่าซั่นเถาะ จากนั้นกะเว้าว่า "คำว่า ทางใน มันบ่ได้หมายถึงแค ่ทางในของเนื้อแตงโมดอก คำว่า ทางใน มันหมายถึง ทางในของในแตงโมเข้าไปอีก ...ลองผ่าในแตงโมเบิ่งดู้ล่ะ ทางในของในแตงโม สิสีหยัง" กรรมการ กะเอาในแตงโมมาผ่าออกเบิ่ง ... ปรากฏว่า ทางในของในแตงโม สีขาว จั่งที่เซียงป่องว่าอีหลี ... คนทั้งหลาย กะพากันตบมือให้ พร้อมทั้งฮ้องว่า " เซียงป่องชนะแล้ว เซียงป่องชนะแล้ว " " ขุนศรีฯแพ้แล้ว ในที่สุดขุนศรีฯ กะแพ้อีกแล้ว " พอฮอดหม่องนี้ ขุนศรีฯ บ่มีทางสิไปต่อ หาหม่องหม่น หาป่องดุดบ่ได้ ในที่สุดกะยอมแพ้ อย่างบ่อยากยอม บ่อยากยอม กะต้องยอมแหล่วเนาะ ... ในที่สุด ขุนศรีฯ กะถืกล้ม... เพิ่นจั่งว่า เหนือฟ้า ย่อมมีฟ้า นั่นล่ะ

ตอนที่ 74 กระท่อมน้อยปลายนา

ขุนศรีฯ หลังจากพ่ายแพ้ ปัญญาของเซียงป่อง อย่างราบคาบแล้ว กะเหลียใจหลาย บ่คึดว่าเจ้าของ สิมีมื้ออับเฉาได้ขนาดนี้ เลากะเสียใจ ตรอมใจ กินบ่ได้ นอนบ่หลับ อายคนกะอาย เลาบ่อยากพ้อพบหน้าผู้ได๋ กะไปสร้างกระท่อมน้อย อยู่ปลายนา แล้วกะอาศัยอยู่หั้นใ นช่วงสุดท้ายของชีวิต ขุนศรีฯ ขนาดใกล้สิตายแล้ว กะยังบ่ถิ่มพิษสงเด้เดียวหนิ .... พิษสง จั่งได๋วะติ ... กระท่อมที่สร้างอยู่ปลายนานั่น ทางเข้า มันเตี้ยอย่างคัก เป็นฮูน้อยๆ ผู้ได๋สิเข้าไปในกระท่อม กะต้องคลานเข้าไป ว่าซั่นเถาะ บ่คลาน เข้าไปบ่ได้... หมู่พวกขุนศรีฯ ที่มาเยี่ยมยาม ทุกคนต้องคลาน เข้าหาขุนศรีฯ ว่าซั่นเถาะ ขุนศรีฯ อาศัยอยู่ในกระท่อมน้อยนั่น บ่ทันดน ย่อนตรอมใจ กินบ่ได้ นอนบ่หลับ ร่างกายกะเริ่มจ่อยผอม จากนั้นกะป่วย หนักขึ้นเรื่อยๆ ... ขุนศรีฯฮู้ดีว่า เจ้าของสิตายในอีกบ่ดน กะคึดฮอดพระราชา เลยให้เมียไปบอกพระราชาว่า เจ้าของมีเรื่องด่วน แล้วกะสำคัญ ต้องการสิกราบทูลให้ฮู้ ก่อนสิตาย พะนะ พระราชา พอแต่ได้ยินจั่งซั่น เข้าใจว่า ขุนศรีฯคงสิมีเรื่องสำคัญคักอีหลี ที่สิบอก สิสั่งเสีย... ย่านขุนศรีฯตายก่อน กะเลยปิดประชุม แล้วกะฟ้าวเดินทางไปหาขุนศรีฯ ถึงกระท่อมน้อยปลายนา... พอไปฮอด พระราชา กะต้องคลานเข้าไปในกระท่อม ปานคนรับใช้ คลานเข้าหานาย พุ้นเด้ เดียวเนี่ย... พอคลานเข้าไปฮอดหม่องขุนศรีฯอยู่ เห็นขุนศรีฯนอนซมเป็นตาหลูโตน อยู่ในกระท่อมน้อย กะถามว่า "ขุนศรีฯ มีเรื่องสำคัญอีหยังสิบอกเฮาล่ะ" ขุนศรีฯ กะเว้าว่า "ปิ้งปลาเข็ง สิให้แซบๆ ต้องหมั่นพิก อย่าให้มันไหม้" พระราชาได้ฟังแล้ว กะสูนอย่างคัก ถามว่า "มีท่อนี้บ้อ บักขุนศรีฯ คำสั่งเสียของมึงน่ะ มึงใกล้สิตายแล้ว ยังมีอารมณ์มาแกล้งกูยุเนาะ... มึงแกล้งกูได้ กูกะแกล้งมึงคืนได้ มึงตายไปแล้ว กูสิให้นางสนมนี่ล่ะ ไปเยี่ยวใส่กองกระดูกมึง" จากนั้น พระราชากะกลับวัง (อีหลีแล้ว คำสั่งเสียของขุนศรีฯ ที่ว่า อาจสิบ่แม่นคำล้อเล่นกะได้น้อ อาจสิเป็นปรัชญา หรือว่าข้อคิด ข้อปฏิบัติ ดีๆ ที่ขุนศรีฯ ต้องการให้พระราชาเก็บไปฮิ่นตรอง แล้วกะนำไปปฏิบัติกะได้น้อ... คำคม ถึงสิคมปานได๋ คนฟัง บ่เข้าใจ กะบ่มีประโยชน์ดอก...)

ตอนที่ 75 กองฟอนไม้ลังตัง

เว้ามาฮอดบั้นท้าย ปลายนิทาน ความจาต้าน ใกล้สิม่อ รอท่าฟัง ตอนจบบั้น หันหน้า อ่วยมา แหน่แหม... เอ๋า.... มาฟังกันต่อ สะล่ะล่ะ... ขุนศรีฯ ได้ฟังคำของพระราชาเว้าจั่งซั่นแล้ว กะฮู้ว่า พระราชาเว้าแล้ว ต้องเฮ็ดแน่นอน กะคึดว่า ถึงแม้จะของตายไปแล้ว กะสิบ่ยอมให้ผู้ได๋ มาเหยียบย่ำได้ ตามอำเภอใจ... ต้องวางแผนรับมือ.... ขุนศรีฯ สั่งเมียว่า "คันข้อยตายไปแล้ว ให้เฮ็ดกองฟอนหม่องเผา อยู่โพนหัวนา แล้วกะให้หาไม้ลังตัง มาเป็นฟืนไม้กองฟอนเด้อ..." จากนั้นอีกบ่ดน ขุนศรีฯ กะตาย นอนตายอยู่กระท่อมน้อยปลายนา... ...... เมียขุนศรีฯ กะจัดการหาไม้ลังตัง มาเฮ็ดกองฟอน เผาขุนศรีฯอยู่โพนหัวนา ตามคำสั่งเสียของขุนศรีฯ ทุกอย่าง เผายามแลง จนฮอดเซ้า ไฟกะมอด เหลือแต่ขี้เถ้า กับกระดูก ฝ่ายพระราชา กะสั่งให้พวกสนมคู่อริขุนศรีฯ ตื่นแต่เซ้า ไปเยี่ยวใส่กองกระดูกขุนศรีฯ ตามที่เคยลั่นวาจาไว้... พวกนางสนม ฮู้อยู่แล้ว ตื่นเซ้ามา กะพากันอดเยี่ยวไว้ รอท่าไปเยี่ยวใส่ กองกระดูกขุนศรีฯ ว่าซั่นเถาะ พอได้เวลา กะพากันไป ฮื้อซิ่น ยืนเยี่ยว นั่งเยี่ยว ใส่กองกระดูก กองขี้เถ้า จนเปียกมอดยอด ขี้เถ้า มันเป็นขี้เถ้าของไม้ลังตังเนาะ พอแต่พวกสนมไปเยี่ยวใส่ ฝุ่นขี้เถ้า กะลอยมาถืก .....นำหมู่นั่นล่ะ..... เลาะๆ นั่นล่ะ..... พวกนางสนม พากันคัน ไปตามๆ กัน ปานไปบู๋ป่าบักตำแย เอาโลด กะยังว้ากะยังว่า...เหอๆ "โอ้ย.. คัน ๆ ๆๆๆๆ" "โอ้ย.. ขุนศรีฯเอ้ย... ตายไปแล้ว กะยังมาหลอกมาหลอนตูข้อยน้อ" "อย่ามาหลอกมาหลอนกันเด้อ... ย่านแล้ว ย่านแล้ว" พากันแล่นหนี เปิดอาดหลาด... เอาโลด.... ต่อจากนั้นมา พวกนางสนม กะบ่กล้าไปตอแยกับ กองขี้เถ้า กองกระดูกขุนศรีฯอีกเลย..

ตอนที่ 76 ตายแล้วยังมีพิษสง

หลังจากเก็บดูกแล้ว... เมียขุนศรีฯ กะเฮ็ดเฮือนน้อยๆ ไว้หม่องกองกระดูก ตางว่าเป็นเฮือนของขุนศรีฯ นั่นล่ะ... ต่อมาอีกดนเติบ... แม้หม้ายผู้นึง ในอดีต เลาเคยถืกขุนศรีฯแกล้ง เคยเป็นอริกับขุนศรีฯ นั่นล่ะ... เลาย่างผ่านมาทางนั้น เห็นเฮือนน้อยขุนศรีฯ กะคึดอยากไปเยี่ยวใส่ ให้มันสาสมใจ "เล่นงานตอนมีชีวิตอยู่บ่ได้ เล่นงานตอนตายกะได้วะ" คึดแล้ว กะเลยย่างไป ฮื้นซิ่น ยืนกวม(ยืนคร่อม) เฮือนน้อย แล้วกะเยี่ยวฮด เฮือนน้อยขุนศรีฯ พอดี้... แตนราม ไปเฮ็ดฮังอยู่ในหั่น... แตนราม พอฮู้ว่า มีผู้บุกรุก กะฟ้าวยกพลบินออกมา จัดการกับผู้บุกรุกทันที ตั๊บ.. ตั๊บ.. ตั๊บ ..นำเลาะๆ นั่นล่ะ " เอ๊อะ .....ยอมแล้ว ยอมแล้ว" เลาคาดลาดแล่นหนี จนซิ่นหลุด พุ่นเด้เดี่ยวหนิ... พอได้สติ กะคืนมาเอาซิ่น แล้วกะเว้าว่า "โฮ้...ตายแล้ว กะยังมีพิษสงตั้วหนิ" พิษสงหยังน้อแม่หม้ายเอ้ย... บ่แม่นพิษสงขุนศรีฯดอก แตนตอดเจ้า เจ้าบ่ฮู้ตี้ ....ฮะเหย......เจิ่ก!!!!!

จบบริบูรณ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น